รีวิว เที่ยวโตเกียวหน้าร้อน กิน เที่ยว ช๊อปปิ้ง ครบจบในทริปเดียว

รีวิว เที่ยวโตเกียวหน้าร้อน กิน เที่ยว ช๊อปปิ้ง ครบจบในทริปเดียว ตามสไตล์เพจเที่ยวแบบมนุษย์เงินเดือน

 

“โตเกียว” เมืองน่าเที่ยว เที่ยวง่าย เที่ยวได้ทั้งปี
ไม่ใช่แค่ฤดูหนาวที่โตเกียวจะน่าเที่ยว แต่ไม่ว่าฤดูไหนๆโตเกียวก็น่าเที่ยว

ไม่ใช่แค่ต้นปีที่ญี่ปุ่นนั้นน่าเที่ยว แต่กลางปีแบบนี้ก็ดีไปอีกแบบ
ไม่ต้องแบกเสื้อผ้าหนาๆให้หนักกระเป๋า เหลือพื้นที่กระเป๋าไว้เหมาของช้อปปิ้ง
แถมตั๋วเครื่องบินก็ถู๊กถูก  ที่พักก็หาไม่ยาก เรียกได้ว่านี่มันนาทีทองของขาเที่ยวเชียวแหละ

ทริปนี้เดินทาง 4 วัน 3 คืน ด้วยความที่เวลาไม่มาก แต่ก็อยากบินไปช๊อปปิ้ง

ขาไปบินไฟล์ทเช้าถึงบ่ายๆ ขากลับ กลับไฟล์ทค่ำ จึงทำให้มีเวลาเที่ยวค่อนข้างเยอะ

 

ก่อนออกเดินทาง เราจะไปรับ Pocket Wifi เพื่อไว้ใช้เล่นอินเตอร์เน็ตที่ญี่ปุ่นกันก่อน
ที่เราทำการจองผ่าน Klook ไว้  ราคาเริ่มต้นเพียงแค่วันละ 170 บาท
สามารถจอง Pocket Wifi ได้ง่ายผ่านทางแอพพลิเคชั่น Klook หรือ ทางหน้าเว็บก็ได้

>> เช่าอุปกรณ์ 4G Wifi สำหรับใช้ที่ญี่ปุ่น >>คลิก<<

จากนั้นเมื่อถึงวันเดินทาง ก่อนที่เราจะไปทำการ Check-in นั้น ให้เรานำ QR Code  ที่จองไว้
หรือ พิมพ์ใบยืนยันการจองที่ได้ทาง e-mail ไปยื่นที่ Counter ที่สนามบินได้เลย
โดยเราสามารถเลือกตอนจองว่าจะรับ- คืน อุปกรณ์ ที่สนามบินดอนเมือง หรือ สนามบินสุวรรณภูมิ

ตัวอย่าง เวาเชอร์บนแอพพลิเคชั่น Klook

สถานที่ รับและส่งคืนอุปกรณ์ เปิดตลอด 24  ชั่วโมง
สนามบินดอนเมือง
เทอร์มินอล 2 (อาคารผู้โดยสารภายในประเทศ) ชั้น 1 (ฝั่งขาเข้า) ประตูหมายเลข 12

สนามบินสุวรรณภูมิ
ชั้น B ใกล้ทางเข้า Airport Rail Link

เมื่อถึงเคาน์เตอร์ให้เรานำใบที่ปริ้น หรือ QR Code ในแอพพลิเคชั่นบนโทรศัพท์ให้แก่เจ้าหน้าที่
พร้อมเอกสาร Passport  และทำการชำระเงินค่ามัดจำอุปกรณ์  2,000 บาท
จากนั้นเจ้าหน้าที่ให้ใบมัดจำ เมื่อตอนนำอุปกรณ์กลับมาคืนก็นำใบดังกล่าวนี้มารับเงินมัดจำคืน

Klook.com

 

ครั้งนี้เราเดินทางกันด้วยสายการบินแอร์เอเชีย บินตรงแบบสบายๆ แถมยังมีไฟลท์ให้เลือกหลายรอบอีกด้วย
จัดตารางเที่ยวดีดี รับรองว่าเที่ยวได้คุ้มเวลาแน่นอนค่ะ

โดยเราออกเดินทาง 05.00 น. ที่เมืองไทย  และจะไปถึงที่โตเกียวเวลาประมาณ 13.00 น. ทำให้เมื่อไปถึงก็สามารถที่จะเช็คอินที่พักได้เลย และ ออกไปเที่ยวได้ทันที ไม่ต้องมัวไปเสียเวลากับการจัดการกระเป๋า

ใช้เวลาเดินทางประมาณ 6 ขม.ตอนอยู่บนเครื่องจึงขอหลับยาวๆเพื่อเก็บแรงไว้ไปตะลุยกันที่โตเกียว
แต่อย่างไรนั้นกองทัพก็ต้องเดินด้วยท้อง  อาหารสั่งล่วงหน้าไว้ก่อนเลยก็ดีนะคะ  จะได้เลือกเมนูที่ถูกใจไปเลย  เผื่อบางทีเมนูที่อยากกิน รอไปสั่งบนเครื่องอาจจะหมดซะก่อน

นี่ไงข้าวไก่เทอริยากิร้อนๆ หอมๆ กินให้อิ่มนอนให้หลับแล้วเราจะได้ไปตะลุยโตเกียวกัน

เมื่อถึงสนามบินนาริตะ เครื่องของเราจะลงที่เทอร์มินอล2 นะคะ
เราจะเข้าเมืองกันโดย Keisei Skyliner  ทริปนี้เราได้ทำการจองตั๋วมาล่วงหน้าเรียบร้อย
ทั้งตั๋วรถไฟ Keisei Skyliner และ Tokyo Metro 72 hour ผ่านทาง Klook

>> ซื้อตั๋วรถไฟจากสนามบินเข้าเมือง >>คลิก<<

>> ซื้อบัตรโดยสารรถไฟ Tokyo Metro , Toei Subway  แบบ(24 , 48 , 72 ชั่วโมง) >>คลิก<<

โดยเมื่อถึงสนามบินแล้ว เราจะต้องทำการแลกบัตรโดยสารก่อนจะไปขึ้นรถไฟ
โดยนำใบที่ปริ้นจาก e-mail ยืนยันการจอง หรือ ใช้ QR Code ในแอพพลิเคชั่น Klook บนมือถือก็ได้ค่ะ
นำมาแลกที่เคาน์เตอร์ ​HIS ชั้น 1 ออกจากจุดรับกระเป๋ามาทางซ้าย ใกล้กับบันไดเลื่อน
เวลาทำการ 8.30 – 22.00น.



เมื่อทำการแลกบัตรโดยสาร Tokyo Metro นั้นเราจะได้ตั๋วตัวจริง ที่สามารถใช้งานได้เลยทันที
แต่สำหรับตั๋วรถไฟ Keisei Skyliner นั้น เราจะตั๋วมาเพื่อนำไปแลกตั๋วเดินทางจริงอีกครั้งที่เคาน์เตอร์ Skyliner


ตั๋ว Tokyo Metro & Toei Subway สามารถใช้งานได้เลย

ตั๋ว Keisei Skyliner ที่แลกจากเคาน์เตอร์ HIS ต้องนำไปแลกเป็นบัตรโดยสารอีกครั้งที่เคาน์เตอร์ Skyliner

บัตรโดยสารรถไฟ Keisei Skyliner ตัวจริง จะมีระบุเวลาของรถ หมายเลขรถ และหมายเลขที่นั่งของเรา

เมื่อเราได้บัตรโดยสารแล้ว ก็ไปรอรถไฟที่ชานชาลาได้เลย โดยเดินลงบันไดเลื่อนไปยังชั้น B1F

เดินตามป้าย Train ไปได้เลยค่ะ

และเดินไปตามป้าย Keisei Line สีน้ำเงิน  จากนั้นนำบัตรโดยสารผ่านประตูเข้าไป
และเดินไปตามป้าย ​Narita Skyiner ชานชาลาที่ 1 (สีส้ม)

 

รถไฟ Keisei Skyliner จะขึ้นที่ชานชาลา 1 เมื่อมาถึงเราก็รอดูว่ารถของเรามาถึงหรือยัง

เมื่อเราของเรามาถึง ก็ขึ้นไปนั่งตามหมายเลขที่นั่งที่ระบุไว้บยบัตรได้เลย
ซึ่งจากสนามบินนาริตะไปถึง Ueno ใช้เวลาประมาณ 40 นาที

Part :   ที่พัก

ครั้งนี้จองที่พักไว้ที่  Keikyu EX Inn Akihabara
พิกัด :  Tokyo Metro ลงสถานี Suehirocho (G14) ทางออก  1

ที่พักของเราจะต้องต่อ Tokyo Metro สายสีส้ม ลงที่สถานี Suehirocho (G14)
ออกทางออก 1  เมื่อเดินออกมาจากสถานี เดินตรงไปจะเจอ Family Mart อยู่ทางซ้าย
จากนั้นก็เลี้ยวซ้ายแล้วเดินตรงต่อไปอีก 2 ไฟแดง (ประมาณ 6 ซอยเล็กๆ)
ก็จะเจอโรงแรมของเราอยู่ด้านซ้ายเลยค่ะ  ตรงข้ามกับโรงแรมจะเป็น Lawson

ที่พักของเรา ตอนนั้นผ่าน Agoda ราคาคืนละประมาณ 2 พันปลายๆ
ภายในห้องก็ถือว่าขนาดเล็กตามมาตรฐานห้องพักญี่ปุ่น  พักสองคนถือว่าไม่อึดอัดมาก
อ่างอาบน้ำ ไดร์เป่าผม ทีวี ตู้เย็น สิ่งอำนวยความสะดวกค่อนข้างครบ

Part  : ของกิน
สำหรับทริปนี้ ตะเวนหาของอร่อยเรื่อยเปื่อยไปตามใจฉันกันเลย

  • Ichiran Ramen ราเมงข้อสอบ
    ร้านราเมงยอดฮิต ที่ใครมาญี่ปุ่นห้ามพลาดเด็ดขาด !!!ถ้าพูดถึงราเมง ร้านที่ขึ้นชื่อติดหูคนไทยคงต้องมี “Ichiran Ramen” หรือ “ราเมงข้อสอบ”
    ที่คุ้นชื่อนี้กันอย่างแน่นอน มาญี่ปุ่นต้องห้ามพลาด!!!
    Ichiran Ramen นั้นมีหลายสาขาทั่วโตเกียว  วันนี้เรามาที่สาขา ชิบูย่า

เข้าไปในร้านก็จะเจอตู้กดอัตโนมัติ ให้เราทำการกดสั่งเมนูที่ตู้ เลือกรายการอาหาร
แล้วเราก็จะได้ตั๋วเล็กๆออกมา จากนั้นพนักงานก็จะนำกระดาษมาให้เราวงรสชาติ
และ ส่วนผสมอื่นๆที่เราต้องการ

ที่นี่มีน้ำดื่มบริการฟรีที่โต๊ะเลย สามารถกดได้ไม่อั้น น้ำเย็นสดชื่น

ไม่นานราเมงของเราก็จะมาเสริฟค่ะ  สำหรับใครที่ต้องการสั่งเพิ่มเติมก็สามารถเลือกที่ใบที่วางอยู่บนโต๊ะได้ค่ะ  เพิ่มเส้น เพิ่มหมูชาชู ไข่ต้ม หรือ ขนมหวาน วงในใบที่วางอยู่บนโต๊ะ แล้วกดเรียกพนักงานได้เลย
(สำหรับเพิ่มเส้นนั้น เพิ่มแต่เส้นอย่างเดียวนะคะ ไม่เพิ่มน้ำ จะเพิ่มเส้นก็อย่าเพิ่งซดน้ำจนหมดน้า…)

รสชาติอร่อยมาก สมคำร่ำลือ น้ำซุปเข้มข้นจนหยดสุดท้ายจริงๆ ซดจนเกือบหมดชาม
ไปญี่ปุ่นต้องห้ามพลาดจริงๆนะ  อิชิรัน ราเมง  มีสาขาเยอะมากทั่วโตเกียว

  • Isomaru Suisan
    สำหรับคออาหารทะเลปิ้งย่างต้องห้ามพลาด กับร้านซีฟู้ด Isomaru Susisam ที่เปิด 24 ชั่วโมง
    ร้านแบบนั่งกิน นั่งดื่ม ของคนทำงาน มีของทะเลสดปิ้งย่าง ข้าวหน้าต่างๆ เมนูของสดต่างๆ
    Isomaru Suisan นั้นมีหลายสาขาในโตเกียว วันนี้เลือกมาสาขา Akihabara เพราะอยู่ใกล้ที่พัก

โดยเราสั่งอาหารผ่านเครื่อง Tablet บนโต๊ะของเราได้เลยค่ะ
เลือกรายการอาหาร และ เครื่องดื่มที่ต้องการ นั่งรออยู่ไม่นานรายการอาหารที่เราสั่งก็จะมาเสริฟบนโต๊ะ

ซึ่งเมนูเด็ดของร้านที่จะแนะนำก็คือ “มันปูย่าง” จัดว่าเป็นเมนูที่ต้องลอง
โอ๊ยยยย…..  บอกเลย ว่าฟินมาก Oishiiiiii
ตอนย่างต้องคอยคนมันปู ระวังอย่าให้มันปูไหม้ด้วยนะคะ

พิกัด :  Tokyo Metro , JR Station สถานี Akihabara เดินประมาณ 200 เมตร

 

  • Jonetsu no Sutameshi Dondon
    แค่เห็นป้ายเมนูหน้าร้านก็รู้สึกร้อนแรงน่ากินเหลือเกิน เมนู  sutameshi ข้าวหน้าหมู
    ร้าน Jonetsu no Sutameshi Dondon มีหลายสาขา เปิดบริการ 24 ชั่วโมงอีกด้วย

 

ร้านนี้ก็กดสั่งอาหารผ่านทางแท็บเล็ตเช่นกัน  มีหลากหลายเมนู ทั้งข้าวหน้าหมู ข้าวหน้าต่าง เมนูเซ็ต
และไม่ต้องเป็นกังวลไปว่าจะกดสั่งกันไม่ถูก เพราะมีเมนูภาษาอังกฤษให้เลือก หมดกังวลปัญหาเรื่องการสั่ง

เมนูแนะนำของที่นี่เป็น Surameshi หรือ ช้าวหน้าหมู เนื้อหมูนุ่มผัดกับพริกหยวก เสริฟพร้อมไข่ และ ซุปมิโสะ
เลือกความเผ็ดระดับสไปซี่ของที่ร้านแล้ว แต่ก็ยังไม่ค่อยรู้สึกถึงความเผ็ดมากนัก แต่รสชาติอร่อยกลมกล่อม

สำหรับข้าวหน้าหมู  รสชาติถูกปากเราเลยนะ  แต่ข้าวไก่ทอด รู้สึกเฉยๆ ธรรมดา
และราคาของร้านนี้ไม่แพงอีกด้วย  ถือว่าอร่อยคุ้มๆ

พิกัด : สาขาชิบูย่า อยู่ใกล้ตึก tsutaya ออกจากสถานีชิบูย่า ทางออก 5-2 ขึ้นมาร้านจะอยู่ทางขวา

  •  ร้าน Minato ya ข้าวหน้าปลาดิบ
    ร้านข้าวหน้าปลาดิบที่ได้รับความนิยมในย่านตลาดอะเมโยโก
    แม้จะดูเป็นร้านธรรมดา แต่ด้วยเมนูที่หลากหลาย รสชาติที่ถูกปากและราคาถูก
    จึงเป็นที่นิยมของคนไทยไม่น้อย ดูได้จากเมนูที่มีภาษาไทยอยู่ด้านหน้าร้านเมื่อเราเลือกเมนูได้แล้วก็จ่ายเงินที่เคาท์เตอร์ จากนั้นก็นั่งรอที่โต๊ะ
    บนโต๊ะจะมีน้ำชา พร้อมกับซอสโชยุและวาซาบิให้บริการ แต่น้ำซุปนั้นต้องสั่งเพิ่มต่างหาก 100 เยน


พิกัด : Tokyo Metro ลงสถานี Ueno เดินเข้าในตลาดอะเมโยโก

 

  • Suika Frappe แตงโมปั่น
    อากาศร้อนๆแบบนี้ ขอแนะนำเมนูเครื่องดื่มดับความร้อนญี่ปุ่น จาก Family Mart ราคา 250 เยน
    เดินตรงเข้าไปที่ตู้แช่ มองหาเจ้า Suika Frappe หยิบจากตู้มากดนมร้อนใส่เข้าไปหน่อย
    แล้วบีบๆให้เข้ากัน ด้านในจะมีเม็ดช๊อคโกแลตกรุบกริบด้วย อร่อยแนะนำเลย
    ยิ่งไปช่วงหน้าร้อนๆแบบนี้ได้แตงโมปั่นสักแก้ว รับรองว่าสดชื่น ฉ่ำใจ แน่นอน


พิกัด : Family Mart

  • ไทยากิ (Taiyaki) ขนมรูปปลา
    ขนมไทยากิ หรือ ขนมรูปปลา ที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น  ขนมไทยากิมีขายอยู่ทั่วไปหลายร้านทั่วญี่ปุ่น
    สำหรับร้านนี้บังเอิญอยู่ใกล้ที่พัก ร้านตั้งอยู่ตรงทางออกของ Tokyo Metro สถานี Suehirocho
    ทางกลับที่พักของเรานั่นเอง เลยแวะซื้อชิมกันหน่อย
    รสชาติใช้ได้เลย อร่อยดีค่ะ มี 2 รสชาติให้เลือก
    คือ ไส้ถั่วแดง ราคา 180 เยน กับ ไส้คัสตาร์ด ราคา 200 เยน

ใครที่มองหาขนมว่างทานเล่นรองเท้า ก็ลองชิมไทยากิกันดูได้นะ

Part :  ชิลล์

  • วัดเซนโซจิ
    ถือเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กของโตเกียวเลยก็ว่าได้  กับวัดเซนโซจิ ที่มีโคมแดงใหญ่เด่นตระหง่าน
    เมื่อเดินเข้ามา เราจะพบร้านค้าเรียงรายตลอดทางเดินเข้าวัด และพลาดไม่ได้กับ ขนมอาเกะมันจู ซาลาเปาทอดสูตรเด็ด ขนมขึ้นชื่อของวัดอาซากุสะ 

และเมื่อถึงวัดแล้วเราก็จะเจอกับควันธูปที่ฟุ้งกระจายทั่ว
ซึ่งมีความเชื่อว่า “โบกควันธูปเข้าหาตัวเอง จะทำให้โชคดีจะทำให้โชคดี”
จุดจำหน่ายธูปตรงนี้ให้เราจุดธูป แต่ไม่ต้องอธิษฐานนะคะ ให้เราเข้าไปอธิษฐานด้านในค่ะ

ก่อนที่เราจะเข้าไปไหว้พระด้านในนั้น  เราจะต้องทำการชำระล้างมือให้สะอาดก่อน
ตรงด้านหน้าจะมีบ่อน้ำ ให้เรานำกระบวยตักน้ำขึ้นมา ล้างมือทั้งสองข้าง และ บ้วนปาก
เหมือนเป็นการทำความสะอาดร่างกาย  ก่อนจะเข้าไปสักการะด้านใน

อีกหนึ่งความเชื่อ คือการโยนเหรียญอธิษฐานลงไปในกล่องที่เรียกว่า Saisen-bako
ซึ่งคนญี่ปุ่นเค้าจะใช้เหรียญ 5เยนสีทองที่มีรูตรงกลาง
เพราะว่าคำว่า 5 เยน ออกเสียงว่า “โกะเอน” พ้องเสียงกับคำว่าโชคดี
เมื่อโยนเหรียญเสร็จพนมมือแล้วโค้ง2ครั้ง พร้อมกับตบมืออีก 2 ครั้ง
แล้วอธิษฐานขอพร แล้วก็โค้งอีกครั้งเป็นอันเสร็จ



รอบๆข้างด้านในวัด จะมีจำหน่าย เครื่องรางต่างๆ  แอบไปส่องๆมองๆแล้วก็ได้ติดไม้ติดมือมาสองสามชิ้น
เพราะได้ยินคำร่ำลือถึงความศักดิ์สิทธิ์  มีทั้งเครื่องรางนำโชคลาภ สุขภาพ การเงิน ความรัก และอื่นๆ


พิกัด :  Tokyo Metro ลงสถานี Asakusa ทางออก  6

Klook.com

  • Tokyo Disneyland
    เริ่มต้นเดินทางจากที่พัก เนื่องจากเราไปดิสนี่ย์แลนด์วันสุดท้ายวันเดินทางกลับพอดี เลยต้องจัดสรรเวลาให้ลงตัวที่สุด และไม่ตกเครื่อง  โดยเดินทางออกจากที่พักไป Tokyo Metro สายสีส้มลงที่  Ueno  และทำการฝากกระเป๋าไว้ที่ตู้ล๊อกเกอร์ที่นี่เลย  ขากลับจะมาขึ้น Keisei Skyliner ไปสนามบินที่สถานีนี้เลยจะได้สะดวก
    โดยตู้ล๊อคเกอร์ฝากของตามสถานีมีอยู่พอสมควร  แต่ถ้าไปช้าบางทีตู้ใหญ่ๆอาจจะเต็มได้
    การฝากกระเป๋าที่ตู้ล๊อคเกอร์ใช้งานไม่ยากค่ะ  เพียงแค่เราไปตู้ที่เราต้องการจะฝากและดูตู้ที่ว่าง และนำกระเป๋าเข้าไปในตู้ที่เลือก จากนั้นก็ทำรายการที่หน้าตู้  กดหมายเลขตู้ที่เราทำการฝากกระเป๋า  แล้วก็ใส่จำนวนเงินตามราคาแต่ละตู้  ตู้ใหญ่ที่สถานีนี้คิดราคา 600 เยนค่ะ

เมื่อทำรายการเรียบร้อย ก็จะได้ใบรายละเอียดการฝากกระเป๋าของเรามาค่ะเก็บไว้ให้ดีนะคะอย่าให้หาย               เพราะต้องใช้ใบนี้สำหรับเวลามานำกระเป๋าออก

ตอนมารับกระเป๋าคืน ก็มาที่ตู้ล๊อคเกอร์ที่เราฝากกระเป๋ากันไว้ กดเลือกนำกระเป๋าออก
จากนั้นก็นำใบฝากกระเป๋าที่เราได้มาตอนแรกมาสแกนคิวอาร์โค้ด
เพียงแค่นี้ตู้ที่เราฝากกระเป๋าไว้ก็จะปลดล๊อคออกมา นำกระเป๋าออกมาได้เลยค่ะ

หลังจากฝากกระเป๋ากันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ออกเดินทางไปโตเกียวดิสนีย์แลนด์กันเลย…… .

ตอนนี้เราอยู่กันที่  Tokyo Metro  Ueno
จะเดินทางไปโตเกียวดิสนีย์แลนด์จะต้องไปสายสีเทา เพื่อลงสถานี Hatchobori (H11)

เมื่อถึงสถานี Hatchobori  แล้ว เราจะเปลี่ยนไปนั่ง JR เพื่อไปลงสถานี Mihama
ก็ทำการซื้อตั๋ว  JR กันที่ตู้  จากสถานี้ไปยัง สถานี maihama  ราคา 220   เยน

เราจะขึ้นที่ชานชาลา 1 เพื่อไปยังสถานี Maihama

เมื่อถึงสถานี maihama แล้ว ตรงนี้เราสามารถที่จะเดินต่อไปเพื่อเข้าดิสนี่ย์แลนด์ได้ไม่ไกลค่ะ
หรือจะนั่งรถไฟก็ได้  ราคา  260  เยน  จะลงที่สถานีไหนก็ได้ค่ะ

เอกลักษณ์เด่นของรถไฟสายดิสนีย์

และแล้วเราก็มาถึง  Tokyo Disney Land  แนะนำว่าให้ซื้อตั๋วล่วงหน้ามาก่อนเลยเผื่อความสะดวกและรวดเร็ว
โดยเราสามารถยื่นตั๋วที่เราปริ้นมา ให้พนักงานทำการสแกนบาร์โค้ดได้เลยค่ะ
>> จองตั๋ว Tokyo Disney Land https://www.klook.com/th/activity/589-tokyo-disneyland-japan/

ปราสาทดิสนีย์แลนด์

วิธีที่จะทำให้เราเล่นเครื่องเล่นได้คุ้มที่สุดคือ  เราต้องวางแผนว่าเราจะเล่นเครื่องเล่นอะไรบ้าง
และเครื่องเล่นเหล่านั้นมี FastPass หรือไม่ หากมี FastPass ก็ให้เราไปกดบัตร FastPass ไว้ก่อน
แล้วระหว่างรอก็ไปต่อคิวเล่นเครื่องเล่นอื่น จนเมื่อถึงเวลาเครื่องเล่นที่กด FastPass ไว้ก็สามารถยื่นบัตร FastPass ให้พนักงานแล้วเดินเข้า FastLane ไปเล่นเครื่องเล่นได้อย่างรวดเร็ว

วิธีให้ได้มาซึ่ง FastPass นั้นทำอย่างไร?
เพียงแค่เรานำคิวอาร์โค้ดบนตั๋วที่เราปริ้นมา อันเดียวกันกับที่สแกนผ่านประตูเข้ามานั่นแหละค่ะ
นำไปสแกนที่ตู้ FastPass ของเครื่องเล่นที่เราหมายปองไว้ได้เลยค่ะ
แต่เราจะไปกด FastPass ครั้งถัดไปได้อีกครั้งก็ต่อเมื่อถึงเวลาที่แจ้งอยู่บนบัตร FastPass (ตัวเลขเล็กๆ ด้านล่าง)
จะไปไล่กดทุกตู้พร้อมๆกันไม่ได้น้า….

Part :  ช้อป
           โตเกียวนั้นนับว่าเป็นเมืองแห่งการช้อปปิ้งเมืองนึงไม่น้อยหน้าใคร เพราะมีแหล่งช้อปปิ้งอยู่ทั่วเมือง และยิ่งช่วงกลางปีแบบนี้  เราก็จะได้เห็นป้ายเซลล์กันเกลื่อนกลาด  ยิ่งย่านช้อปปิ้งต่างๆ ลดกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์กันเลยทีเดียว

  • Shibuya109
    ศูนย์รวมสินค้าแฟชั่นของสาวๆ เสื้อผ้าสวย สไตล์เก๋ๆ ต้องที่นี่เลยค่ะ
    มีหลากหลายแบบ หลายสไตล์ เหมาะกับสาวๆที่รักในแฟชั่น ของที่ทั้งถูก ดี และตามแฟชั่น
    พิกัด : Tokyo Metro สถานี Shibuya เดินอีกประมาณ 400 เมตร
  • Lotte Duty Free Ginza
    พิกัด  :  Tokyo Metro  ลงสถานี  Ginza  ใช้ทางออก C2   เข้าไปที่ห้าง  Tokyu Plaza ชั้น 8-9

เป็นอีกที่หนึ่งแหล่งช้อปที่น่าสนใจสำหรับขาช้อปแบรนด์เนม ราคาปลอดภาษีใจกลางเมือง
Lotte Duty Free Ginza  ตั้งอยู่ชั้น 8 และ 9  ของห้าง  TokyuPlaza  จัดว่าเป็นสวรรค์ของเหล่านักช้อปแบรนด์ดัง  เพราะรวบรวมแบรนด์ต่างๆไว้ที่นี่เยอะแยะมากมาย  แถมยังมีโปรโมชั่นลดราคาอยู่เรื่อยๆอีกด้วยค่ะ

การมาช้อปปิ้งที่นี่ควรมาก่อนวันเดินทางกลับอย่างน้อย 2 วันนะคะ
เพื่อให้ทางร้านค้าได้มีเวลานำสินค้าไปส่งที่สนามบินค่ะ
เตรียมเอกสารเดินทาง Passport และข้อมูล  Bording Pass ของเราให้พร้อม
เมื่อเลือกซื้อสินค้าที่นี่  เราจะยังไม่ได้รับสินค้ากลับไปในทันทีนะคะ  แต่เราจะได้ใบรับสินค้ามา
เพื่อนำไปรับสินค้าที่สนามบิน  หมดกังวลว่าจะช้อปเยอะเกินจนจะแบกไม่ไหว

โดยเราจะต้องแจ้งพนักงานตอนซื้อสินค้าว่าเราจะไปรับที่สนามบินใด (นาริตะ , ฮาเนตะ)  และเทอมินอลใด
เมื่อซื้อสินค้าเรียบร้อยแล้ว พนักงานจะให้ใบรับสินค้านี้ เก็บไว้ให้ดี เพราะต้องใช้ตอนไปรับสินค้าที่สนามบิน

เมื่อถึงวันเดินทางกลับให้เราไปรับสินค้าล่วงหน้าอย่างน้อย  1  ชั่วโมงก่อนเวลาออกเดินทาง
จุดรับสินค้าของสนามบินนาริตะ Terminal2   จะอยู่ที่ชั้น 1 ใกล้กับ Gate 70
หลังจากผ่านขั้นตอนตรวจสัมภาระแล้ว ก็มารับสินค้าที่จัดรับสินค้า  Duty Free Pick Up
โดยนำใบรับสินค้าของเรายื่นให้กับพนักงาน ทางพนักงานก็จะนำสินค้าที่เราได้ซื้อไว้ที่ Lotte Duty Free
ออกมาให้เรา เป็นอันเรียบร้อย ก็ถือขึ้นเครื่องกลับไปแบบสบายๆ

  • Book off ร้านสินค้ามือสอง
    ร้านขายของมือสองที่ไม่ได้ขายแต่หนังสือเหมือนชื่อร้าน แต่มีสินค้าหลากหลายชนิด
    ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า กระเป๋า นาฬิกา เครื่องประดับ กล้องถ่ายรูป ฯลฯ
    สำหรับใครที่ชื่นชอบสินค้ามือสอง สินค้าสวยราคาถูก ต้องมาร้าน Book off มีหลายสาขาในโตเกียวBook off    : ร้านสินค้ามือสองแบบต้นฉบับ เน้นหนักไปที่หนังสือ CD DVD ของอื่นมีไม่มากนัก
    Book off PLUS : จะใหญ่กว่า Book off ธรรมดาเพิ่มเติมที่เสื้อผ้าและแบรนด์เนม
    Book off SUPER BAZAAR : แหล่งรวมของมือสองขนาดใหญ่ แหล่งขุมทรัพย์สินค้ามือสองวันนี้เรามากันที่ Book off สาขา Ueno

และถ้าคอสะสมของเก่า ของหายาก  บอกเลยว่า Book off เหมือนแหล่งขุมทรัพย์
มีทั้งหนังสือ  แผ่นเกมส์  กระเป๋า เครื่องประดับ  เครื่องใช้ไฟฟ้า  อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

     

โซนนี้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคือหนังสือแนวไหน

– Onituska Tiger
แบรนด์รองเท้าผ้าใบแฟชั่นสัญชาติญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมจากคนไทยเป็นอย่างมาก
ใครชอบรองเท้ายี่ห้อนี้ มี 2 สาขาที่จะแนะนำ สำหรับคนที่อยากจะช้อปรองเท้าเสือสุดฮิต
และทั้ง 2 สาขานั้น มีพนักงานที่พูดไทยได้ สอบถามสี ถามไซส์ รายละเอียดกันได้อย่างสบาย
พนักงานบริการดีน่ารักทั้งสองสาขาเลยค่ะ

สาขา Shibuya (SHIBUYA MODI)
พิกัด : Tokyo Metro สถานี Shibuya
ให้ข้ามมาตรงถนนด้านขวามือของตึก QFRONT แล้วเดินตรงขึ้นไปเรื่อยๆ ประมาณ 5 นาที
เปิดทุกวันตั้งแต่ 11.00 – 21.00 น.

ชั้น 2 ของร้านจะมี ทั้งรองเท้า และสินค้าอื่นๆ

สาขา Omotesando

พิกัด : Tokyo Metro สถานี Meiji-Jingumae Harajuku ทางออก 5
เลี้ยวซอยก่อนถึงตึก Omotesando Hill ไปประมาณ 200 เมตร
เปิดทุกวันตั้งแต่ 11.00 – 21.00 น.

ข้างๆกันจะเป็นช้อป Nippon Made

  • ABC Mart ร้านรองเท้ายอดฮิต
    มีสาขากระจายตัวไปทั่วทุกที่ ทุกสถานี ในโตเกียว เป็นร้านที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับขาช้อปรองเท้า
    เพราะที่นี่จะรวบรวมรองเท้าหลากหลายแบรนด์ หลายรุ่น  และราคาก็ถูกมากอีกด้วย
    บางรุ่นจัด SALE ยิ่งย้ำความถูกลงไปอีก รับรองว่าถูกใจขาช้อปรองเท้าอย่างแน่นอน

     

เที่ยวโตเกียว เที่ยวง่าย เที่ยวได้ทั้งปี  “ช้อป ชิม ชิลล์”  ไม่ยากเลย
ถ้ามาเที่ยวโตเกียวช่วงกลางปีแบบนี้ ก็จัดพื้นที่กระเป๋ากันให้ดีดีด้วยนะคะ
เพราะอาจจะช้อปปิ้งจนเต็มพื้นที่กระเป๋ากันได้ง่ายๆ ขอเตือนกันไว้ก่อนเลยน้า…..
เอ้า… ใครจะไปโตเกียวยกมือขึ้น!!!!!!
ยกมือขึ้นมาจองตั๋วแล้วไปโตเกียวกันเถอะ………………..​.​.  .

 

 

Klook.com


สำหรับใครที่จะไปเที่ยวโตเกียว

>>สามารถซื้อบัตรเข้าสวนสนุกได้ที่  >>คลิก<<

>>ซื้อ JR Pass สำหรับเดินทางได้ที่ >>คลิก<<

>>ซื้อตั๋วเดินทางจากสนามบินเข้าเมือง (Keisei Skyliner) ที่ >>คลิก<<

 

 



Booking.com

Facebook Comments

Leave a Comment