สวัสดีจร้า วันนี้ขอมาพาทุกคนไปเที่ยวญี่ปุ่น เส้นทาง Osaka-Wakayama-Ise-Nagoya-Osaka ทริปเดียวไปกันหลายเมืองเลย
ทริปนี้เดินทาง 6 วัน 5 คืน ช่วงระหว่างวันที่ 22-27/08/18 บินเส้นทาง ไปกลับ ดอนเมือง-โอซาก้า ของสายการบิน Thai AirasiaX เลย
ซึ่งทริปนี้ได้ไปเที่ยวสถานที่ ท่องเที่ยว ชื่อดังหลายที่เลยไม่ว่าจะเป็นที่ เมือง KADA จังหวัด WAKAYAMA , เที่ยวศาลเจ้า ISE ศาลเจ้าที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในญี่ปุ่น , เที่ยวศาลเจ้า Futami Okitama Jinja จากนั้นไปตะลุยเที่ยวที่เมืองนาโกย่า และกลับไปเที่ยวที่เมืองโอซาก้า โดยทริปนี้เราได้ไปเที่ยวสวนสนุกระดับโลกอย่าง Universal Studios Japan
และแน่นอนว่าไปญี่ปุ่นต้องเลือกว่าจะใช้การเดินทางแบบไหน และสำหรับทริปนี้ เราเลือกเดินทางโดยรถไฟ โดยใช้พาส JR “Ise-Kumano Area Tourist Pass”
รายละเอียดจะเป็นยังไง และทริปนี้จะสนุกสนานแค่ไหน ไปติดตามพร้อมๆ กันเลย
การเตรียมตัวก่อนเดินทาง
สำหรับทริปนี้ เมื่อเรารู้แล้วว่าแผนการเดินทางต่างๆ ของเราเป็นยังไง เราก็ทำการสั่งซื้อพวก JR Pass การเช่า Pocket WI-FI ตั๋วเข้าชมสวนสนุก Universal และบัตรเดินทางต่างๆ ที่เราจะใช้ โดยทำการสั่งซื้อกับเว็บไซต์ Klook จากนั้นตั๋วต่างๆ ที่เราสั่งก็จะถูกส่งเข้าอีเมล์
เมื่อถึงวันเดินทางเราสามารถ Print Confirmation ที่ได้รับทางอีเมล์ ไปยืนยันรับที่ Counter ให้บริการตามจุดให้บริการได้เลย ยกเว้น JR Pass ที่ทาง Klook จะทำการจัดส่งมาทางไปรษณีย์ ตามที่อยู่ที่เราให้จัดส่ง ประมาณ 7 วันทำการหลังจากที่ได้รับการยืนยันชำระเงิน รายละเอียดการใช้งานต่างๆ เดี๋ยวเราจะอธิบายอีกทีในรีวิว
เพื่อนๆ สามารถสั่งซื้อ ได้ตามลิงค์ด้านล่างนี้เลย
<<การสั่งซื้อ JR PASS “Ise-Kumano Area Tourist Pass” แบบ 5 วัน>>
<<การสั่งซื้อ Osaka Amazing Pass >>
<<การสั่งซื้อ NANKAI LINE สำหรับเดินทางจาก เมืองโอซาก้าไปสนามบินคันไซ>>
<<การสั่งซื้อตั๋ว Universal Studios Japan (USJ)>>
<<การสั่งซื้อ Express pass (USJ) >>
มารู้จักกับ Ise-Kumano Area Tourist Pass
Ise-Kumano Area Tourist Pass เป็นอีกหนึ่งพาสที่อยากแนะนำให้ลองใช้มากๆ เพราะเส้นทางที่พาสนี้ผ่านไป มีสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังหลายสถานที่และผ่านเมืองสำคัญๆ หลายเมือง และที่สำคัญ พาสนี้ราคาไม่แพงด้วย โดยสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ตามลิงค์นี้เลย >>คลิก<<
>> ราคา
ผู้ใหญ่ : 11,000 เยน (เด็ก: 5,500 เยน) / ถ้าไปซื้อที่ญี่ปุ่นราคาจะแพงกว่าคือ ผู้ใหญ่ : 12,000 เย็น (เด็ก : 6,000 เยน)
* เด็กคือ อายุระหว่าง : 6 – 11 ปี
>>เป็นประเภท 5 วันแบบต่อเนื่อง
<<การสั่งซื้อ JR PASS “Ise-Kumano Area Tourist Pass” แบบ 5 วัน>>
สามารถสั่งซื้อ พาสนี้ได้ตามลิงค์ด้านบนเลย ซื้อจากไทย ถูกกว่าไปซื้อที่ญี่ปุ่น
เริ่มต้นการเดินทาง
สำหรับการเดินทางวันนี้ เราบินกับสายการบิน Thai AirAsiaX บินตรงจาก ดอนเมือง – โอซาก้า ทุกวัน วันละ 2 เที่ยวบินกันเลยทีเดียว และสำหรับใครที่เดินทางกับ Thai AirAsiaX ก็ต้องมาขึ้นเครื่องที่อาคาร 1 ชั้น 3 สนามบินดอนเมือง เปิดให้เช็คอิน 3 ชั่วโมงก่อนเดินทาง
และสำหรับการเช็คอินวันนี้ เราลากกระเป๋ามาเช็คอินแบบเริ่ดๆ เพราะเราใช้บริการ Red Carpet
ซึ่งเดี๋ยวจะอธิบายอย่างละเอียดด้านล่างว่าบริการนี้ได้สิทธิพิเศษอะไรบ้าง แต่ที่แน่ๆ ตอนเช็คอิน สามารถเดินเข้าเช็คอินช่องพิเศษ Premium Flatbed เดินพรหมแดงไปเช็คอินได้แบบไม่ต้องรอคิว
Flight details : XJ 612 : DMK 00.55- KIX 08.40 ใช้เวลาบินประมาณ 6 ชั่วโมง ขาไปเป็นไฟล์ทบินดึกถึงเช้า นอนไปบนเครื่องได้เลย ไปถึงก็เที่ยวได้เลย
- ห้องรับรองพิเศษ* The Coral Executive Lounge
สำหรับทริปนี้ก็พิเศษคะ เพราะพวกเราได้เข้าใช้เลาจ์ หรือห้องรับรองด้วย เพราะเป็นหนึ่งในสิทธิพิเศษของผู้ใช้ Red Carpet
โดย ห้องรับรอง The Coral Executive Lounge นี้จะมีทั้งฝั่งอาคารในประเทศ และฝั่งอาคารต่างประเทศเลย ซึ่งทริปนี้เราบินต่างประเทศ ห้องรับรองก็จะอยู่หลังจากจุดตรวจความปลอดภัยเลย
ภายในห้องรับรองก็จะมีทั้งอาหารคาว หวาน เครื่องดื่ม ขนม ไว้คอยบริการ และที่นั่งที่สะดวกสบาย มานั่งพักผ่อนชิลล์ๆ เช็คอินโก้ๆ อิ่มท้องก่อนขึ้นเครื่อง
- ซึ่ง บริการ Red Carpet จะมีดังนี้
1.สิทธิ์ในการรับบริการเช็คอินก่อนใคร
2.สิทธิ์ในการใช้บริการห้องรับรองพิเศษ* The Coral Executive Lounge (สูงสุด 2.30 ชั่วโมง)
3.สิทธิ์ในการขึ้นเครื่องก่อนใคร
4.สิทธิ์ในการรับกระเป๋าก่อนใคร(รับกระเป๋าก่อนใครเมื่อเดินทางถึงปลายทาง)
***ผู้โดยสารทุกคนของแอร์เอเชียสามารถซื้อบริการ Red Carpet ได้ทั้งเที่ยวบินในประเทศ ราคา 1,000 บาท(ซื้อล่วงหน้าก่อนเดินทางเหลือ 800 บาท) และต่างประเทศ ราคา 1,200 บาท(ซื้อล่วงหน้าก่อนเดินทางเหลือ 1,000 บาท)
***จองบริการ Red Carpet ที่เมนู “จัดการบุ๊คกิ้ง” ก่อนเดินทางอย่างน้อย 4 ชั่วโมง หรือซื้อที่ เคาน์เตอร์จำหน่ายบัตรโดยสารที่สนามบินดอนเมือง ก่อนเดินทางอย่างน้อย 1 ชั่วโมง
***รายละเอียดเพิ่มเติม >>คลิกที่นี่<< หรือโทรสอบถามที่ Call center 025159999
ได้เวลาเรียกขึ้นเครื่อง Thai AirasiaX จะบินด้วยเครื่องลำใหญ่ A330 แต่ไฟล์ทนี้พิเศษมาก เพราะที่นั่งแถวเป็น 2 4 2 ที่นั่งกว้าง นั่งสบาย แถมมีที่ชาร์ทไฟใต้ที่นั่งอีกด้วย ไฟล์ทนี้บินประมาณ 6 ชั่วโมง สำหรับใครที่สั่งอาหารร้อนไว้ ลูกเรือจะเสริฟให้
- มาถึงที่ ท่าอากาศยานนานาชาติคันไซ Kansai International Airport
เครื่องลงมาถึงค่อนข้างตรงเวลาคะ มาถึงก็พากันรีบผ่าน ตม. ผ่านกันได้อย่างเรียบร้อยดีทุกคน
จากนั้นเดี๋ยวเราไปติดต่อรับ Pocket WI-FI ที่ได้ทำการสั่งจองไว้ล่องหน้ากับเว็บ Klook วันละ 223 บาท โดยสามารถจองได้ ที่ลิงค์นี้ >>คลิกที่นี่<< ซึ่งสามารถไปรับได้ที่ เคาน์เตอร์ Ninja WI-FI อยู่ตรงชั้น 1 เลยคะ รับกระเป๋าออกมาก็เจอเลย
ขั้นตอนการรับ ก็ง่ายๆ เพียงยื่นใบจองที่ได้รับทางอีเมล์หลังจองเสร็จ จากนั้น จนท ก็นำเครื่องมาให้ พร้อมอธิบายการใช้งาน ไม่ต้องวางเงินมัดจำเครื่องใดๆ ทั้งสิ้น สะดวกมากๆ เหมาะกับคนที่ไม่มีบัตรเครดิต เพราะบางเจ้า ต้องกันเงินมัดจำ วงเงินในบัตรเครดิตไว้ด้วย แต่ถ้าจองกับ Klook ไม่ต้องคะ
- แวะอาบน้ำ
เสร็จจากรับ Pocket WI-FI ก่อนออกไปเที่ยวทุกคนพากันแวะอาบน้ำที่ KIX Airport Lounge ก่อน ค่าอาบ 510 เยน ใช้ห้องได้ 1 ชั่วโมง
สามารถดูรายละเอียดได้ตามรีวิวนี้ >> รีวิว!! ห้องอาบน้ำ สนามบินคันไซ KANSAI AIRPORT , OSAKA
- แวะรับ และแลก JR Pass
สำหรับทริปนี้เราได้ทำการสั่ง JR PASS “Ise-Kumano Area Tourist Pass” แบบ 5 วัน มาจากเว็บ Klook โดยพอสั่งซื้อแล้ว Voucher ตามรูปซ้ายล่าง จะถูกส่งมาตามที่อยู่ที่เราให้ไว้ จากนั้นเราก็ถือ Voucher นี้มาแลกที่เคาน์เตอร์ JR ตามสถานีรถไฟใหญ่ๆ ได้เลย อย่างถ้าใครบินลงโอซาก้า สถานี JR จะอยู่ในสนามบินใกล้ๆ กับอาคาร 1 เลย
ขั้นตอนการแลก >> นำพาสปอร์ต + Voucher JR ยื่นที่เคาน์เตอร์ JR >> จนท จะมีใบให้กรอกข้อมูลนิดหน่อย >> จากนั้นก็จะได้ JR Pass ตัวจริงตามรูปขวาล่างมา นำ JR Pass นี้ไปใช้ได้เลย ขั้นตอนการแลกก็ง่ายๆ คะ
คลิก <<การสั่งซื้อ JR PASS “Ise-Kumano Area Tourist Pass” แบบ 5 วัน>>
สำหรับวันแรกเราจะไปเที่ยวกันที่เมือง KADA จังหวัด WAKAYAMA
ได้เวลาออกเที่ยวพวกเรายั่งรถไฟ จากสนามบินคันไซ ไปที่ เมือง Kada เลย แต่ก่อนที่จะออกไปเที่ยวเรามาเรียนรู้วิชา ภูมิศาสตร์และประวัตศาสตร์ของญี่ปุ่นกันก่อนเพื่อความ อิน ในสถานที่ที่จะพาไปเที่ยวกัน
Wakayama เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคคันไซ อยู่ติดกับ Osaka ที่ใช้เวลาเดินทางจาก Osaka เพียง 30 นาที เป็นเมืองที่อยู่ติดชายทะเลและขึ้นชื่อเรื่องของทะเลสดๆ เช่น ปลาทูน่า และ ปลากะพงแดง โดยเฉพาะปลากะพงแดง
Kada เป็นเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งที่ใช้เวลาเดินทางจาก Wakayama เพียง 25 นาที เป็นเมื่องท่าที่อยู่ทางทิศ ตะวันออกของจังหวัด Wakaya และสถานีรถไฟ Kada เป็นสถานีไม้ที่สร้างมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1912
Awashima-Jinja Shrine
เมือง Kada เป็นที่ตั้งของศาลเจ้า Awashima-Jinja Shrine
การเดินทาง
- นั่งรถไฟจากสถานี WAKAYAMASHI มาลง สถานี KADA จากนั้นเดินไปยังศาลเจ้าใช้เวลาประมาณ 10 นาที
เป็นศาลเจ้าที่รู้จักกันสำหรับการขอพรเพื่อให้โชคดี ขอลูก และขอให้คลอดลูกง่ายๆสำหรับผู้หญิง
ศาลเจ้าแห่งนี้ยังมีตุ๊กตา ซึ่งได้รับการถวายมาจากทั่วประเทศ เรียงรายกันอยู่ในโถงด้านหน้าที่ลงรักสีแดง เป็นสถานที่กำเนิดของเทศกาลตุ๊กตา หรือ วันเด็กผู้หญิงทุกๆวันที่ 3 มีนาคม ของทุกๆปีจะมีเด็กผู้หญิงมาที่นี้เป็นจำนวนมาก ศาลเจ้าแห่งนี้ไม่ใช่สถานที่ทิ้งตุ๊กตา แต่เนื่องจากศาลเจ้าแห่งนี้เป็นต้นกำเนิดของเทศกาลตุ๊กตา และ วันเด็กผู้หญิง คนญี่ปุ่นจึงเชื่อว่า ศาลเจ้าแห่งนี้คือสรวงสวรรค์ของเหล่าตุ๊กตา จึงนำมาไว้ที่ศาลเจ้าแห่งนี้
พลาดไม่ได้เลยถ้ามาที่เมือง KADA คือลองทานข้าวหน้าปลา Shirasu เป็นปลาตัวเล็กๆคล้ายๆกันกับปลาข้าวสารบ้านเรา แต่เนื้อจะละเอียดละมุมกว่า แนะนำเลยค่ะว่าต้องลอง
ซ้ายมือจะเป็นแบบสดนำขึ้นมาปรุงเลย ส่วน ขวามือจะเป็นแบบตากแห้ง
เดินชมบ้านเมืองและทำการขอพรจากศาลเจ้าเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาเดินทางกลับกัน เพราะคืนนี้เราต้องไปนอนกันที่เมือง Kii-Katsuura ที่ใช้เวลาเดินทางจาก สถานี WAKAYAMA ถึง 168 นาทีโดย รถไฟ LTD.EXP. KURUSHIO 21 เพื่อที่พรุ่งนี้เราจะนั่งรถบัสเพื่อไปเดินเที่ยว ในเส้นทาง คุมะโนะโคะโด/เนินไดมงซะกะ (Kumano kodo/Daimon-zaka) และขึ้นไปชมน้ำตกนาชิกันต่อ
วันที่2
เหมือนฟ้าจะไม่เป็นใจในการเที่ยวของเราวันนี้ 5555 ไม่ใช่ค่ะ แต่เป็นเพราะว่า หลังจากที่ไต้ฝุ่นหมายเลข 19 พึ่งพัดผ่านไป หมายเลข 20 ก็รีบมาเติมในทัน ซึ่งความแรงก็เหมือนจะทวีขึ้นด้วย โดยทางกรมอุตุของญี่ปุ่นแจ้งว่าไต้ฝุ่นจะพัดผ่านบริเวณจังหวัด WAKAYAMA พอดี ทำให้ JR ประกาศหยุดเดินรถตั้งแต่เวลา 10 โมงเป็นต้นไป ชั่งเป็นเช้าที่สดใสจริงๆเลยสำหรับเรา ก็เลยต้องตัดใจหอบกระเป๋าขึ้นรถไฟหนีไต้ฝุ่นไปลี้ภัย และ หาที่เที่ยวเอาข้างหน้าที่ เมือง ISE กัน ระหว่างทางที่นั่งรถไฟไปฝนก็ตกลมแรงตลอดทาง
กว่าเราจะเดินทางมาถึงที่ ISE ก็เกือบบ่ายโมงเลยทีเดียว เราก็เลยเอากระเป๋าไปฝากไว้ที่ โรงแรมก่อนแล้วค่อยออกไฟหาข้าวกินกัน
มื้อแรกของเราที่ ISE
ที่ ISE ก็เจอไต้ฝุ่นเหมือนกัน ร้านค้าสถานที่ท่องเที่ยวพากันปิดหมด รถไฟรถบัสก็หยุดให้บริการบางเที่ยว กว่าจะหาร้านกินข้าวได้ก็แทบแย่เหมือนกัน พอพลังกลับมาอีกครั้งอีก มีเหรอที่คนไทยที่ไม่เคยรู้ฤทธิ์ของไต้ฝุ่นอย่างเราจะเกรงกลัว เราก็เริ่มมองหาที่เที่ยวกันต่อทันที ใกล้ๆกับที่พักเรามีศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอยู่พอดี
เราก็เลยเข้าไปหาข้อมูลกัน แต่ข้อมูลที่ได้คือแนะนำให้กลับโรงแรงดีกว่าอย่าออกไปไหนเลย Typhoon is coming Dangerous Dangerous. เดินออกจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวแบบงง งง ตัดสินใจอีกทีว่าเราจะไปต่อ
ศาลเจ้า ISE Geku (ศาลเจ้าอิเสะชั้นนอก)
การเดินทาง
- จากสถานีรถไฟ ISE เดินตรงไปประมาณ 5 นาที
แล้วเราก็ตัดสินไปที่ศาลเจ้า ISE Geku (ศาลเจ้าอิเสะชั้นนอก) ซึ่งเป็นหนึ่งในศาลเจ้าหลักของญี่ปุ่นโดยศาลเจ้า ISE Geku นี้เป็นที่ประดิษฐานของเทพเจ้า Toyouke Omikami เป็นเทพผู้พิทักษ์อาหารที่อยู่อาศัยและเสื้อผ้าให้กับเทพเจ้า Amaterasu ซึ่งประดิษฐานอยู่ที่ศาลเจ้าชั้นใน (Ise Naiku) เชื่อกันว่าศาลเจ้าชั้นนอกนี้ได้สร้างขึ้นหลังจากการสร้างศาลเจ้าชั้นใน (Ise Naiku) ประมาณ 500 ปี
บรรยากาศภายในศาลเจ้าก็ใหญ่โตกว้างขวางร่มรื่นเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ เชื่อไหมคะว่าในขณะที่ข้างนอกฝนตกลมแรงมากแต่เราอยู่ข้างในแทบไม่โดนเม็ดฝนหล่นใส่เลยค่ะ
ภายในบริเวณศาลเจ้าสงบร่มรื่นต่างกับข้างนอกลิบลับเลย
ไฮไลท์ของ Ise Geku ก็คือจะสร้างอาคารศาลเจ้าใหม่ทั้งหมดทุกๆ 20 ปีและย้ายศาลเจ้าไปยังสถานที่แห่งใหม่ โดยเป็นเทศกาลที่สำคัญและศักดิ์สิทธิ์มากที่สุดที่เรียกว่า “จิงงูชิคิเนนเซ็งงู”
ที่ว่างๆตรงขวามือนี้เดิมทีเคยเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าหลักเคยมีโกะโชงูตั้งอยู่ตรงนี้ด้วย โกะโชงูเป็นศาลเจ้าที่มีระดับสูงที่สุด โกะโชงูนี้ก็มีทั้งที่ Geku และ Naikuด้วย และทั้ง 2 แห่งไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพด้านใน เนื่องจากเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ยังไงก็ระวังกันให้ดีด้วยน้า
ศาลเจ้าหลักของ Ise Geku ที่สร้างขึ้นใหม่เมื่อปี 2013 เรียกว่า อาคารศาลเจ้าที่ชื่อว่า “โกะโชงู”
เดินชมนกชมไม้ไหว้ศาลเจ้าไปเรื่อยๆ พอดูเวลาอีกทีก็เกือบ 5 โมงเย็นแล้วเราเลยลากลับไปเช็คอินที่โรงแรมจบวันไปแบบอึนๆ
วันที่ 3
ถึงแม้ว่าวันนี้ฝนยังตกอยู่และ JR ก็ยัง STOPPER เหมือนเมื่อวาน แต่เราก็ตัดสินใจอยู่เที่ยวที่ Ise อีก 1 วัน สถานที่แรกที่เราจะไปวันนี้คือ
Futami Okitama Jinja
การเดินทาง
- ขึ้นรถ bus ประจำทาง หน้าสถานี Ise-shi โดยรถ bus ประจำทาง ประมาณ 30 นาที ลงสถานี Ise sea Paradise แล้วเดินต่อประมาณ 5 นาที
*** และเพื่อเป็นการประหยัดเราซื้อ 1 Day Bus pass ในราคา 1000 เยน ขึ้นลงได้ไม่จำกัดเที่ยวกันก่อน**
ระหว่างนั่งรถไปก็หาข้อมูลสถานทีไปเพื่อความอินในการเที่ยวของเรา
ศาลเจ้า Futami Okitama Jinja แปลกกว่าศาลเจ้าอื่นๆเพราะ มีทำเลที่ตั้งที่ตั้งอยู่ริมทะเล
ก่อนเข้าศาลเจ้าเราก็ต้องชำระล้างสิ่งสกปรกกันก่อน ล้างปาก ล้างมือกันให้เรียบร้อยก็เข้าไปได้เลย
Ise บรรยากาศสวยงาม จุดเริ่มต้นของความเชื่อและความศรัทธาที่เเป็นจุดประสงค์ของการก่อสร้างศาลเจ้าแห่งนี้ขึ้นนั้นก็คือสร้างเพื่ออุทิศให้กับเทพเจ้า Sarutahiko no Okami ซึ่งเป็น 1 ใน 6 มหาเทพของญี่ปุ่น และยังเป็นเทพที่ใกล้ชิดกับมนุษย์โลกมากที่สุด เนื่องจากท่านมีหน้าที่ดูและจัดการทุกสรรพสิ่งบนโลก ทำให้เทพองค์นี้เป็นที่เคารพและศรัทธาของชาวญี่ปุ่นเป็นอย่างมากเมื่อเดินพ้นผ่านประตูโทริอิเข้าไปแล้วก็หมายความว่าเราได้เข้าสู่พื้นที่ของศาลเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์แล้ว
ซึ่งก็จะมีตัวศาลให้เราได้สักการะขอพรเหมือนกับศาลเจ้าทั่วไป
ความพิเศษของที่นี่อีกอย่างหนึ่งคือ Meoto Iwa หรือที่คนไทยเราคุ้นในชื่อหินแต่งงานนั่นเอง ลักษณะเป็นหินสองก้อนที่มีขนาดเล็กและใหญ่ต่างกัน เปรียบเหมือนชายและหญิง ด้านบนของหินมีเชือกคล้องระหว่างกันไว้ ทำให้มองดูเหมือนกับว่าหินทั้งสองกำลังอยู่ในพิธีวิวาห์
** ด้วยความโชคดีของเราช่วงที่ไปเชือกขาดค่ะ ภาพเลยเป็นอย่างที่เห็น**
การเดินทางสอนให้เรารู้ว่าถึงแม้ว่าเราจะไปถึงเป้าหมายก็ไม่ได้หมายความเราจะประสบความสำเร็จ ทริปมีไว้ให้ซ่อม กลับมาข้อมูลต่อว่าเค้าจะทำพิธีเปลี่ยนเชือกอีกทีตอนไหนแล้วเราจะกลับไปใหม่ 555
ซึ่งตามตำนานแล้ว หินทั้งสองก้อนนี้หมายถึงคู่มหาเทพที่เป็นสามีและภริยากัน คือ มหาเทพ Izanagi no Okami และมหาเทพ Izanami no Okami ซึ่งเป็นเทพเจ้าผู้สร้างและเป็นผู้ให้กำเนิดเทพต่าง ๆ อีกมากมาย และด้วยตำนานดังกล่าวนั่นเองจึงทำให้หินคู่นี้เปรียบเหมือนเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักของหญิงชายที่อยู่เคียงคู่กัน ทำให้ที่นี่โด่งดังในเรื่องความรัก มีคู่รักชาวญี่ปุ่นหลายต่อหลายคู่เดินทางมาที่นี่เพื่อสักการะและอธิษฐานขอพรให้ชีวิตคู่สมหวัง ราบรื่น มีความสุข และอยู่คู่กันตราบนานเท่านาน รวมทั้งคนโสดที่ต้องการมีความรักที่แท้จริงก็สามารถเดินทางมาขอพรให้สมหวังในความรักได้เช่นกัน
บริเวณโดยรอบของศาลเจ้าแห่งนี้จะเต็มไปด้วยรูปปั้นกบที่เชื่อกันว่าเป็นสัตว์ประจำกายของเทพ Sarutahiko no Okami
และศาลเจ้า Futami Okitama Jinja เคยเป็นสถานที่ขัดเกลาจิตใจและชำระสิ่งสกปรกของนักบวช ศาลเจ้า Ise Jingu อีกด้วย
ปัจจุบันจึงเชื่อกันว่าการไปเคารพศาลเจ้า Futami Okitama Jinja ก่อน ค่อยไปเคารพศาลเจ้า Ise Jingu เป็นสิ่งที่ถูกต้อง
ซึมซับบรรยากาศกันแล้วก็เดินกลับมาเพื่อขึ้นรถที่ป้ายรถ Bus ประจำทาง ตรง Ise sea Paradise เป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ กำลังมีการแสดงสิงโตทะเลพอดีเราเลยแวะดูกันนิดนึง
ศาลเจ้า Ise JIngu Naiku หรือว่าศาลเจ้าอิเสะชั้นใน ศาลเจ้า Ise Jingu หรือศาลเจ้าอิเสะ
การเดินทาง
- ขึ้นรถ BUS จากสถานี Ise sea Paradise ประมาณ 20 นาที ลงสถานี Ise Naiku
เป็นศาลเจ้าที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากสำหรับชาญี่ปุ่น เป็นศาลเจ้าที่ชาวญี่ปุ่นถึงกับเอ่ยว่า “ต้องมาสักการะให้ได้สักครั้งในชีวิต” เพราะที่นี่ถือเป็นศาลเจ้าแห่งแรก ของญี่ปุ่น ทั้งยังมีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศอีกด้วย ศาลเจ้าอิเสะเป็นศาลเจ้าขอผู้ที่นับถือชินโต และมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับราชวงศ์ญี่ปุ่น จึงนับได้ว่าเป็นศาลเจ้าที่สำคัญสูงสุด เนื่องจากชาวญี่ปุ่นนั้นมีความเชื่อกันว่าศาลเจ้าอิเสะนั้นเป็นที่สถิตย์ของเทพเจ้า Amaterasu หรือเทพเจ้าพระอาทิตย์ โดยคนญี่ปุ่นเชื่อว่าราชวงค์ญี่ปุ่นนั้นสืบเชื้อสายมาจากเทพเจ้า Amaterasu ในส่วนของศาลเจ้าด้านในอันเป็นที่สถิตย์ของเทพเจ้าพระอาทิตย์นั้นมีความศักดิ์ศิทธิ์เป็นอย่างมาก เนื่องจากมีความเชื่อว่าเป็นเทพเจ้าองค์แรกที่มาประทับและเป็นที่เคารพบูชาของชาวญี่ปุ่น ที่นิยมกันมาสักการะเพื่ออธิษฐานขอพรให้ประสบความสำเร็จในด้านต่าง ๆ และก็มีบ่อยครั้งที่นักธุรกิจชาวญี่ปุ่นจากแต่ละบริษัทจะเข้ามาทำพิธีการเพื่อให้กิจการเจริญรุ่งเรือง โดยปีหนึ่งจะมีคนญี่ปุ่นเดินทางมาสักการะศาลเจ้าแห่งนี้ประมาณ 7 ล้านคน
ก่อนจะเข้าไปในบริเวณศาลเจ้าเราต้องเดินข้ามสะพาน อุจิบาชิ ที่ทอดข้ามแม่น้ำอิซุซุกาวะว่ากันว่าเป็นสะพานที่เชื่อมระหว่างมนุษย์กับเทพเจ้า โดยจะเชิญชวนผู้ที่มาสักการะบูชาจากโลกในชีวิตประจำวันเข้าไปยังโลกอันศักดิ์สิทธิ์
เมื่อข้ามสะพานอุจิบาชิไปแล้วก็จะเห็น ชินเอ็น (สวนศาลเจ้า) ตั้งอยู่ตรงหน้า บอกเลยว่าจักรพรรดิไทโชทรงปลูกต้นสนด้วยตัวเองเลยล่ะค่ะ มองถนนทอดยาวออกไปแล้วพาให้จิตใจสงบจริงๆ
ก่อนเข้าศาลเจ้าก็ตามธรรมเนียมค่ะ ล้างมือล้างปาก
ระหว่างทางเดินไปศาลเจ้าหลักก็จะเป็นทางเดินปูด้วยหิน 2 ข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่
ถึงแล้วค่ะศาลเจ้าหลัก และอย่างที่บอกค่ะว่าภายในศาลเจ้าไม่อนุญาติให้ถ่ายรูปเราจึงได้แค่เก็บบรรยากาศไว้ในความทรงจำ
หลังสักการะศาลเจ้าอิ่มใจกันไปแล้วเราก็ ไปอิ่มท้องกันต่อที่ Oharai-Machi/Okage-yokocho ตั้งอยู่ด้านหน้าของศาลเจ้า
สำหรับสายช็อปปิ้งที่ชอบเดินกินเดินเที่ยวเล่นแบบชิลล์ชิลล์ ต้องแวะมาที่ถนนทั้งสองสายนี้เลย เป็นเส้นทางแห่งสรวง สวรรค์ที่เต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย แต่น่าเสียดายฝนตกตลอกเราเลยไม่ได้เก็บภาพมาให้ได้ดูกัน แต่ขนาดว่าฝนตกคนยังแน่นอย่างที่เห็น
อิ่มใจอิ่มท้องกันเรียบร้อยแล้วได้เวลาโบกมือลาเมืองแห่งศาลเจ้ากันแล้วเดินทางกันไปต่อที่ Nagoya
เที่ยว Nagoya
ท๊าด๊า มาถึงแล้ว Nagoya
ครั้งนี้จะพาเที่ยว Nagoya กัน 2 วันเต็มๆ การเดินทางใน Nagoya ก็ง่ายๆ เหมือนโตเกียวโอซาก้าเลย คือมี Subway ครอบคลุมทุกพื้นที่
คืนแรกที่มาถึง Nagoya เราก็ออกเที่ยวกันเลย
หาข้าวกินอิ่มท้องแล้วเราก็ไปชมวิวปราสาท Nagoya ในตอนกลางคืนบนยอดตึก Midland Square “Sky Promenade” ตึกอยู่ตรงข้ามสถานี นาโกย่า
Midland Square เป็นอาคารสูงที่สุดของเมืองนาโกย่า (Nagoya) จังหวัดไอจิ (Aichi) ด้วยความสูงที่ 247 เมตร ตัวอาคารประกอบด้วยศูนย์การค้า ร้านอาหาร ออฟฟิศ และ Sky Promenade จุดชมวิวที่ความสูง 220 เมตร ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างชั้น 44-46
Sky Promenade นั้นถือได้ว่าเป็นจุดชมวิวแบบ Open-air ที่สูงที่สุดของญี่ปุ่น สามารถมองเห็นแลนด์มาร์คต่างๆ ของเมืองได้ อาทิ ปราสาทนาโกย่า (Nagoya Castle)
เข้าไปในอาคารแล้วก็ขึ้นลิฟท์ไปชั้น 42 ได้เลย
ขึ้นบันไดเลื่อนขึ้นมาถึงชั้น 46 เลี้ยวขวา ซื้อบัตรเข้าชมแล้วก็เดินเข้าได้เลย แค่เดินเข้าไปเจอเข้ากับมุมนี้ก็ฟินแล้วค่ะ
วิวบนนั้นอลังมากขอบอก
ในตอนกลางคืนก็ยังมีไฮไลท์ที่การแสดงไฟและหมอกทุกๆ 30 นาที มัวแต่ตะลึงกับหมอก กว่าจะยกกล้องขึ้นถ่ายก็เกือบๆช่วงสุดท้ายแล้ว
มาถึงวันแรกก็กลับเข้าที่พักแบบ Last Train เลยทีเดียว จบไปวันคืนไปแบบอิ่มเอมใจนอนหลับฝันดีพรุ่งนี้ค่อยลุยกันต่อ
“Ohayo Nagoya” ก่อนจะออกไปเที่ยวเราก็เพิ่มพลังกันก่อน เช้าแบบนี้ขอเบาๆก่อนที่ ร้านกาแฟ+อาหารเช้า Komeda’s coffee
สั่งกาแฟแถมชุด อาหารเช้าเป็นขนมปังปิ้ง +ท๊อปปิ้ง (ไข่ต้ม,ถั่วแดง,และเนย) แล้วแต่เราจะเลือก
เมนูแนะนำของที่นี้คือ Shirono-whirl ร้าน Komeda’s coffee มีหลายสาขาใน Nagoya สำหรับสาขาที่เราไปวันนี้คือสาขา Sakae
บรรยากาศยามเช้าของร้าน
เพิ่มพลังเรียบร้อยแล้วเราก็ไปกันต่อเลย วันนี้เราจะไปชมความยิ่งใหญ่ของ
ปราสาทนาโกย่ากัน Nagoya castle
การเดินทาง
- การเดินทางเราใช้ Subway สาย Meijo line (สายสีม่วง) ลงสถานี Shiyakusho(M07)
ถึงแล้วใช้ทางออกที่ 7 ได้เลยสังเกตไม่ยากตรงบันไดจะมารูปปราสาทอยู่เลยค่ะ
พอเดินออกมาจากสถานีก็เลี้ยวขวาเดินตามกำแพงปราสาทไปเลยค่ะ ก่อนเข้าไปในตัวปราสาทเราก็เจอเข้ากับขบวนนักเต้นตัวน้อย น่ารักมากเลยเข้าไปขอถ่ายรูป มาฝากค่ะ ลืมบอกไปว่าช่วงที่เราไปมีงานเทศกาลเต้นฤดูร้อนพอดีค่ะ เดินไปทางไหนเราก็จะเจอนักเต้นเดินสวนทางกับเราตลอด แต่ขบวนนี้ คาวาอี้มากเลยเข้าไปขอถ่ายรูปมาฝากกันค่ะ
ก่อนเข้าปราสาทก็ไปซื้อตั๋ว ราคา 500 เยน จริงๆแล้วตั๋ว 1 Day pass ของเราสามารถใช้เป็นส่วนลดค่าเข้าได้ด้วยนะคะ แต่เราลืมมมม จ่ายเต็มไปค่ะ
ตรงประตูทางเข้าจะมี Stamp ไว้ให้เรา Stamp เป็นที่ระลึกด้วยนะคะเป็นหมึกล่องหน แต่พอเอาไฟฉายส่องจะเห็นเป็นเรืองแสงแบบนี้ค่ะ
ช่วงที่ไปถึงกำลังมีแสดงเต้นพอดี แวะดูก่อนค่ะ ยืนดูอยู่สักพัก ก็เข้าไปในด้านในกัน
ก่อนเข้าไปเราก็มาศึกษาประวัติศาสตร์ไปพร้อมกันก่อนเพื่อ ความ อิน 555 ปราสาทนาโกย่า (Nagoya Castle) ตั้งอยู่ในเมืองนาโกย่า จังหวัดไอจิ (Aichi) สร้างขึ้นโดยโชกุน โทคุกาวะ อิเอยาสึ ในปี ค.ศ. 1612แต่ได้ถูกเพลิงไหม้จนเสียหายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และได้รับการบูรณะใหม่ในปี ค.ศ.1959 ตัวปราสาทถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองนาโกย่า
ตัวปราสาทหลักมีทั้งหมด 7 ชั้น ภายในประกอบด้วยนิทรรศการเกี่ยวกับประวัติความเป็นมา และการจัดแสดงอุปกรณ์ต่างๆ บริเวณรอบๆ ปราสาทมีคูเมืองและสวนซึ่งเป็นจุดยอดนิยมในการมาชมซากุระบานช่วงที่เราไปข้างในตัวปราสาทได้ทำการปิดปรับปรุง
แต่ได้เข้าไปชมปราสาท Hommaru ซึ่งเป็นบ้านพักสำหรับต้อนรับแขกในสมัยนั้น ปัจจุบันได้รับการสถาปนาเป็นสมบัติของชาติ ทุกๆห้องจะตกแต่งด้วยภาพเขียนที่สวยงามและผนังหุ้มด้วยทองคำทุกห้องซึ่งมันสวยจริงๆต้องไปเห็นด้วยตาตัวเองให้ได้
ข้างนอกดูว่าสวยแล้วพอเข้าไปข้างในบอกเลยว่าสวยมากๆ
ข้างก็จะเป็นทางเดินรอบๆตัวปราสาท เป็นไม้
สวยทุกห้องจริงๆ พอชมภายในปราสาทเสร็จก็ได้เวลาโบกมือลาปราสารทนาโกย่าแล้วไปหาอะไรรองท้องก่อนค่อยไปต่อกัน
สาบานว่ารองท้องค่ะ
สำหรับสถานที่ต่อไปที่เราจะพาไปเที่ยวนั้นบอกได้คำเดียวว่าเปรียบเสมือนเครื่องยืนยันสายสัมพันธ์อันยาวนานของไทยกับญี่ปุ่นทีเดียวซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับไทยถึง 3 แผ่นดินเลย เกรินมาขนาดนี้ไปกันเลยดีกว่าค่ะ
สถานที่ว่าก็คือ
Nittaiji Temple (วัดนิตไตจิ) หรือ Kakuozan Nittaiji
การเดินทาง
- ใช้ Subway สาย Higashiyamaline (สายสีเหลือง) ลงสถานี Kakuozan (H15)
ออกทางออกที่ 1
ขึ้นไปเจอ Starbucks อยู่ขวามือเดินตามถนนเข้าไปเลย จะมองเห็นยอดเจดีย์อยู่ไกลๆ
เดินไปประมาณ 5 นาทีก็เจอเข้าประตูวัดแบบนี้เลย
Nittaiji Temple
เป็นวัดที่ไม่เหมือนวัดในญี่ปุ่นเลย เพราะ วัดนี้ถือเป็นศูนย์รวมของทุกนิกายในญี่ปุ่นเป็นวัดแรกและวัดเดียว จึงไม่ขึ้นกับศาสนาพุทธนิกายใด ทว่าจะมีการหมุนเวียนเข้ามาดูแลวัดของแต่ละนิกาย
วัดสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2447 ในรัชสมัยของรัชกาลที่ 5 จุดเริ่มต้นของการสร้างวัดนี้เพราะพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้พระราชทานพระบรมสารีริกธาตุให้เพื่อเป็นมิ่งขวัญของชาวพุทธในญี่ปุ่นในปี พ.ศ.2443 นอกจากนี้ยังได้พระราชทานพระพุทธรูปสำริดอายุกว่าหนึ่งพันปีให้ด้วย หลังจากได้รับพระราชทานของสำคัญถึงสองอย่าง
ญี่ปุ่นจึงได้สร้างวัดขึ้นใหม่เพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุขึ้นในเมืองนาโกย่า และตั้งชื่อวัดนี้ว่า ‘Nittaiji’ ซึ่งคำว่า ‘Ni’ มาจากคำว่า Nihon (Japan) ‘TAi’ มาจาก คำว่า Thailand และ ‘Ji’ แปลว่า Temple หรือวัด (เดิมจึงชื่อวัดนิตเซนจิเพราะสมัยนั้นประเทศเราชื่อสยาม) ซึ่งในฝั่ง houantou reidou คือที่ตั้งของสถูปหินแกรนิตสูงกว่า 15 เมตร ที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุไว้ภายใน ดังนั้นเมื่อมีโอกาสได้มาเยี่ยมชมวัดนี้ก็อย่าลืมแวะมาสักการะ บรมสารีริกธาตุ เดินผ่านฝั่ง Hondou ไปก่อนแล้วค่อยกลับมากัน
เดินประมาณ 5 นาทีก็ถึงฝั่ง Houantou Reidou ซึ่งอยู่อีกฝั่งถนน บรรยากาศภายในวัดก็จะเงียบสงบ
ภายในวัดมีต้นซากุระเรียงรายอยู่เต็มไปหมดถ้ามาในช่วงใบไม้ผลิคงสวยมาก
ในวันที่เราไปประตูปิดไม่สามารถเข้าไปด้านในได้ เลยได้แต่ยืนสักการะอยู่ตรงนี้มองเห็นฐานเจดีย์อยู่ไกลๆ
กลับมาฝั่ง Hondou อีกครั้งเข้าไปภายในวัดกันเลย
ภายในมีหออนุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ซึ่งที่หน้าอนุสาวรีย์มีต้นไม้ที่ปลูกโดยในหลวงรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระราชินีเมื่อปี พ.ศ. 2506 ซึ่งมีการเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดย องค์ประธานในพิธี คือ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ์ รัชกาลที่ 10 (สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมารในขณะนั้น) เมื่อ พ.ศ.2530
ภายในอุโบสถของวัดมีพระศากยะมุนีประดิษฐานเป็นพระประธานอยู่ที่นี่ โดยได้รับ พระราชทานจาก รัชกาลที่ 9 พร้อมทั้งได้พระราชทานป้ายจารึก พระพุทธศากยมุนี ใช้พระปรมาภิไธยย่อ จปร. และ ภปร. บนป้ายจารึก ในปี พ.ศ.2532
ภายในวัดยังมีหอระฆังขนาดใหญ่ใช้พระปรมาภิไธยย่อ จปร. และ ภปร. และคำว่าพระพุทธศากยมุนี สลักไว้เช่นเดียวกัน
ซึมซับบรยากาศตามรอยเสด็จจนอิ่มใจแล้วก็ได้เวลาอาหารเย็นอีกแล้ว
Nagoya TV Tower & Oasis 21
เราจะไปทานอาหารเย็น และไปชมแสงสียามค่ำคืนของ Nagoya TV Tower กันต่อโดยเราได้ขึ้นไปบนดาดฟ้าของตึก Oasis 21
การเดินทาง
- นั่ง Subway สาย Higashiyamaline (สายสีเหลือง) ลงสถานี Sakae (H10)
พอมาถึงที่ Sakae เราก็เจอกับงานแข่งขันการเต้นประจำฤดูร้อนหยุดดูกันตามธรรมเนียม
เติมพลังกันก่อนแล้วไปดาดฟ้าของตึก Oasis 21
บนดาดฟ้ามีการจัดงาน Twinkle Night ด้วย
บรรยากาศในงานก็จะประมาณนี้ ภายในงานมีจำหน่ายเครื่องดื่มให้จิบพร้อมกับชมวิวด้วย ดื่มด่ำกับแสงสีกันจนพอใจเราก็กลับเข้าที่พักกัน พรุ่งนี้ต้องตื่นมาลุยที่ Nagoya ต่ออีก 1 วัน
Ohayo Nagoya Day 2.
ศาลเจ้า Atsuta Jingu
เริ่มต้นวันใหม่ด้วย ศาลเจ้า Atsuta Jingu ขอพรให้ได้ชัยชนะ ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นศาลเจ้าขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 2 (รองจาก Ise Jingu)
การเดินทาง
- นั่ง Subway สาย Meijo Line (สายสีม่วง) ลงสถานี Jingu Nishi (M27) ออกทางออกที่ 2
เดินขึ้นมาก็เจอป้ายบอกทางเดินตามป้ายไปเลย
บรรยากาศภายในศาลเจ้าก็ร่มรื่นเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่
ในทุกปีที่นี่จะมีผู้คนมาสักการะกว่า 6 ล้านคน เรียกว่าที่นี่มีคนมาเยี่ยมเยียนขอพรกันไม่ขาดสาย
บริเวณศาลเจ้าหลักมีคนต่อคิวเข้าไปขอพรกันพอสมควร
ขอพรกันเรียบร้อยแล้วเราก็ไปต่อกันที่ Shirotori Garden นี้อยู่ไม่ไกลจากวัด Atsuta Jingu มากใช้เวลาเดินประมาณ 10 นาทีจากศาลเจ้า
ระหว่างทางก็เดิมชมบ้านชมเมืองไปเพลินๆ
ถึงแล้วสวน Shoirotori ซื้อบัตรเข้าชมสวนแล้วเข้าไปกันเลย
เป็นหนึ่งในสวนที่เราจะได้สัมผัสบรรยากาศของ ความเป็นญี่ปุ่น แบบเต็มๆ นอกจากนั้นแล้วสวนนี้ยังคงขึ้นชื่อทางด้านของความงดงามที่เปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาลอีกด้วย
สวนนี้ยังมีความหมายซ่อนอยู่อีกด้วย นั่นก็คือ แท้จริงแล้วบ่อน้ำหลักของทางสวนนั้นจะมีรูปร่างเหมือนอ่าว Ise ส่วนเนินเขาในบริเวณนั้นจะสื่อถึงภูเขา Ontake และลำธารที่ไหลลงจากเนินเขานั้นก็เป็นการสื่อถึงแม่น้ำ Kiso ที่ไหลผ่านตอนกลางของญี่ปุ่นนั่นเอง
Osu Kannon วัดโอสึคันนง
ชมสวนกันแล้วแล้วก็ไปต่อกันที่ Osu Kannon วัดโอสึคันนง เป็นวัดพุทธที่มีชื่อเสียงโด่งดังของเมืองนาโกย่า (Nagoya) จังหวัดไอจิ (Aichi) ตัววัดดั้งเดิมสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1333 ที่จังหวัดโอวาริ (Owari) ซึ่งปัจจุบันคือจังหวัดกิฟุ (Gifu) และเนื่องจากวัดเดิมถูกน้ำท่วมบ่อยครั้ง โชกุน โทคุกาวะ อิเอยาสึจึงได้ย้ายที่ตั้งของวัดมาที่เมืองนาโกย่านี้ในปี ค.ศ. 1612
และใกล้ๆกับวัน Osu Kannon ก็เป็นถนนชอปปิ้ง Osu ซึ่งมีร้านค้าเรียงราย 2 ข้างทางเกือบ 200 ร้านทีเดียว
ผ่าน Alice café ด้วยแต่เวลาไม่พอเลยไม่ได้ไปต่อคิวเข้าไป
ช้อปปิ้งละลายเงินเยนกันไปพอสมควร ก็ถอนตัวกลับแล้วเดินทางไป โอซาก้ากันต่อ
การเดินทางไป Osaka โดยการนั่งรถไฟจากสถานี Nagoya ไปลงที่สถานี Osaka แล้วนั่ง Osaka Loopline ไปลงสถานี Tamatsukuri เพื่อเข้าที่พัก
**************************
วันสุดท้ายเราจะไปแอบเด็กกันที่ Universal Studio Japan กัน เรา check out
ออกจากที่พักกันแต่เช้า นั่งรถไฟจากสถานี Tamatsukuri Station ไปลงที่ Nishikujo Station
เพื่อฝากกระเป๋าและหาข้าวเช้าทานเพิ่มพลังก่อนออกไปลุย Universal Studio Japan และต่อจาก Nishikujo Station ไปลงที่ Universal-City Station
สำหรับรีวิวเที่ยวสวนสนุก Universal Studios Japan (USJ) ได้รีวิวแยกไว้แล้ว ตามลิงค์ด้านล่างเลย
รีวิวพาเที่ยวสวนสนุก Universal Studios Japan ไปเที่ยวโอซาก้า ห้ามพลาด!!
หลังจากที่โบกมือลา Universal กันออกมาแล้ว เราไปรับกระเป๋าที่สถานี Nishikujo และนั่งรถไฟจากสถานี Nishikujo ไปลง JR Namda Station เพื่อจะต่อรถไฟไปสนามบิน
โดยที่ตั๋วรถไฟที่จะไปสนามบินเราได้ซื้อมาแล้วจากเว็บ Klook เราต้องนำ Voucher ที่ได้มาไปแลกเป็นตั๋วก่อน ซึ่งเรามีบัตร Osaka Amazing Pass ด้วยที่เรายังไม่ได้แลก ก็เดี๋ยวเอาไปแลกพร้อมกัน แต่ Osaka Amazing Pass ก็คิดว่าน่าจะไม่ได้ใช้แล้ว แต่ก็ต้องแลกไว้
สถานที่แลกบัตรคือ OCAT TOURIST INFORMATION CENTER ในอาคาร OCAT สถานี JR Namba(north gate)
เดินทางไปสนามบิน
บัตรที่เราไปแลกมาของ รถไฟ Nankai Line จะเป็นบัตรแบบไม่ระบุวัน การใช้งานคือเอาไปยื่นให้ จนท ตรงอ๊อฟฟิต Nankai Line ออกตั๋ว พร้อมระบุที่นั่งให้เรา เลือก รอบและแจ้ง จนท ได้เลยแต่ก่อนไปสนามบินก็ขอแวะทานมื้อเย็นให้เรียบร้อยซะก่อน
จากนั้นก็ตรงไปที่สนามบินคันไซกันเลย ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที พอถึงสนามบินคันไซก็จัดการเอา Pocket Wifi ที่เราเช่าไว้ไปคืน ตรงเคาน์เตอร์ของ NINJA WIFI
สามารถจองบัตรรถไฟไปกลับสนามบินคันไซ และบัตร Osaka Amazing Pass ได้ตามลิงค์ด้านล่าง
1.<<การสั่งซื้อ NANKAI LINE สำหรับเดินทางจาก เมืองโอซาก้าไปสนามบินคันไซ>>
2.<<การสั่งซื้อ Osaka Amazing Pass >>
สำหรับขากลับเราเดินทางกลับโดยสายการบิน Airasia X Flight XJ611 จากสนามนานาชาติคันไซเวลา 23.55น. ถึงสนามบินดอนเมืองเวลา 03.50น. พอขึ้นเครื่อง ปุ๊บก็หลับกันยาวยาว มาถึงเมืองไทยก็ออกไปลุยงานกันต่อได้เลย
เที่ยวญี่ปุ่นให้ประทับใจคุ้มค่าได้ไม่ยากแค่เราวางแผนการเดินทาง และ วางแผนการจองตั๋วและพาสให้พร้อม แล้วเจอกันใหม่นะ Japan
**จบทริป**