รีวิวเที่ยวโอซาก้า-เกียวโต-โกเบ-นารา ช่วง 3-9 เมษายน 2562 ช่วงซากุระ 6 วัน 5 คืน พาไปช๊อป ไปกิน และยังได้ท่องเที่ยวช่วงเทศกาลซากุระบาน
สวัสดีครับทุกคน ทริปนี้ผมจะพาทุกท่านไปเที่ยวที่ญี่ปุ่นกันครับ เดินทางช่วง 3-9 เมษายน 2562 ที่ผ่านมา ซึ่งช่วงนี้ที่ญี่ปุ่น กำลังอากาศดีมากๆ เลย และที่สำคัญที่สุดเลยก็คือ ช่วงที่เราไปเป็นช่วงที่ดอกซากุระกำลังบานสวยพอดีเลยครับ ถือเป็นทริปตามล่าดอกซากุระเลยก็ว่าได้ ที่ไหนซากุระสวย เราต้องไปตามล่ากันครับผม โดยทริปนี้เราไปล่าซากุระในภูมิภาคคันไซของญี่ปุ่น ก็ได้ไปกันมาหลายเมือง ทั้ง โอซาก้า เกียวโต นารา โกเบเรียกได้ว่าเป็นเส้นทางเที่ยวยอดฮิต ซึ่งมีสถานที่เที่ยวสวยๆ หลายที่เลย ใครที่ยังไม่เคยไปต้องหาโอกาสไปซักครั้ง หรือใครที่ไปแล้ว ก็ไปอีกได้ เพราะแต่ละฤดุ ก็จะมีความสวยงามที่แตกต่างกันไป เอาล่ะเพื่อไม่ให้เสียเวลาเรามาเที่ยวพร้อมๆ กันเลยดีกว่า
VISA : การเดินทางไปญี่ปุ่นนั้นให้ ฟรีวีซ่า 15 วัน ครับผม ดังนั้น ถ้าเราเดินทางไปญี่ปุ่นไม่เกิน 15 วันก็ไม่จำเป็นต้องขอวีซ่าครับ ดังนั้นพกไปแค่ passport เล่มเดียวพอครับ
เริ่มต้นเดินทาง
….เราเริ่มเดินทางกันที่ ท่าอากาศยานดอนเมืองครับผม โดยสายการบินที่เราจะใช้เดินทางทั้งไปและกลับ สำหรับทริปนี้ของเราก็คือ สายการบิน NokScoot เมื่อเรามาถึงอาคาร 1 ชั้น 3 ขาออกระหว่างประเทศ เราก็มาต่อแถวเพื่อเตรียมตัวเช็คอิน กัน ถึงแถวจะยาวหน่อย แต่รอไม่นานอย่างที่คิดครับผม เพราะพนักงานที่เคาเตอร์เช็คอินท์ มีเยอะมากเลยครับ แถมยังให้บริการอย่างดี และยังรวดเร็วมากอีกด้วย ซึ่งเราต้องมาก่อนเวลานะครับ เพราะว่าเคาเตอร์เช็คอินท์จะปิดก่อนเวลาเครื่องขึ้นบิน 60 นาที
NokScoot เดินทางจาก ดอนเมือง ประเทศไทย ไปยังท่าอากาศยานคันไซ ประเทศญี่ปุ่น ด้วยเครื่องบิน Boeing 777-200ER ลำใหญ่โตมากครับ ขนาด 415 ที่นั่งเลยครับ โดยแบ่งเป็น ScootBiz ชั้นธุรกิจ ทั้งหมด 24 ที่นั่ง การจัดที่นั่งจะเป็นแบบแบบ 2-4-2 จำนวน 3 แถวอยู่ที่ส่วนหน้าของเครื่องบินครับ และมีชั้น Economy อีก 391 ที่นั่ง การจัดที่นั่งจะเป็นแบบ 3-4-3 ครับผม
จองตั๋วโปรโมชั่นได้ที่ www.nokscoot.com
…..พอเราเช็คอินเสร็จก็นำกระเป๋าไปโหลดเพื่อขึ้นเครื่อง จากนั้นก็เดินผ่านเข้า ตม. และผ่านการตรวจความปลอดภัยครับผม เมื่อผ่านเสร็จแล้วก็ ไปรอที่เกทเพื่อรอเวลา ขึ้นเครื่องกันครับ ซึ่งเวลาที่เราเดินทางคือ 23.40 น.ของไทยครับ และจะถึงญี่ปุ่นที่เวลา 7.10 น.ตามเวลาของญี่ปุ่น โดยระยะเวลาเดินทาง จะใช้เวลาประมาน 5.30 ชั่วโมง พอเราเดินผ่านเกทขึ้นมาถึงเครื่อง ก็พอกับพนักงานต้อนรับต้อนที่คอยตอนรับด้วยความแจ่มใสครับผม
….เมื่อเราเข้ามาถึงในตัวเครื่องบิน ต้องบอกเลยว่า ห้องโดยสารกว้างขวางมาก ลำใหญ่มาก หลังคาก็สูง ที่นั่งกว้างขวาง ไม่แออัดเลยครับ สามารถนั่งได้สบาย ขาไม่มีติดเลย เหลือที่ว่างให้เหยียดขา อีกต้องเยอะ ขนาดผมเป็นคนตัวสูงยังไม่มีปัญหาเลยครับผม บริเวณด้านข้างของที่พักแขนจะมีปุ๋มสำหรับกดเรียกพนักงานและเปิดไฟอยู่ด้วยครับ
…..เราใช้เวลาในการเดินทางจากสนามบินดอนเมือง – คันไซ โอซาก้า ใช้เวลา 5.30 ชั่วโมง ระหว่างที่นั่งอยู่บนเครื่องก็จะมีพนักงานมาแจกใบ ตม. ซึ่งตรงนี้เราควรที่จะกรอกให้เรียบร้อยตั้งแต่อยู่บนเครื่องเลยครับ จะได้ไม่เสียเวลามากรอก ที่สนามบิน เพื่อความรวดเร็จในการผ่านเข้า ตม. ของเราครับผม
เมื่อเรามาถึงสนามบินคันไซกันแล้ว ซึ่งช่วงนั้นเป็นเวลาประมาน 7.10 น. กำลังเช้าเลย เหมาะแก่การเริ่มการท่องเที่ยวจริงๆ ครับผม
…บินมาถึงแล้ว ก็ได้เวลาเริ่มทริปตามล่าดอกซากุระไปพร้อมกันเลยดีกว่าครับ โดยที่แรกที่เราจะไปกันก่อนเลยก็คือ เกียวโต เมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่นนั้นเอง แต่อย่างแรกเลยที่เราต้องเตรียมก่อนเดินทางก็คือ ตั๋วโดยสารของเราครับผม
….ซึ่งตั๋วที่เราจะใช้ในทริปนี้ก็คือ JR Kansai Area Pass แบบ 2 วัน ครับผม โดยตั๋วแบบนี้จะขายให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเท่านั้น โดยที่เราสามารถโดยสารรถไฟ JR และ Haruka limited express trian ในแถบคันไซ บริเวณรอบโอซาก้า เกียวโต นารา และโกเบ ได้ทั้งหมดแบบไม่จำกัดจำนวนครั้ง ส่วนราคาแบบ 2 วันนั้นอยู่ที่ 4500 เยนครับผม โดยที่เราสามารถซื้อตั๋วได้ที่ JR ticket office ซึ่งถ้าเราเดินออกมาจาก หน้าสนามบินคันไซที่ชั้นสองจะเจอทันทีเลยครับผม นอกจากบัตร JR Kansai Area Pass แล้วผมแนะนำให้ซื้อบัตร ICOCA IC Card ไปด้วยเอาครับ เป็นบัตรไว้ใช้แทนเงินสดเวลาเราซื้อของในที่ต่างๆได้หลายที่เลยครับผม จะได้ไม่ต้องลำบากเวลาจ่ายเงินซื้อของแล้วได้เงินทอนเป็นเหรียญมาเยอะๆครับผม
แต่ก่อนที่เราจะเริ่มเดินทางกัน พวกผมคงต้องขอไปอาบน้ำแต่งตัวเปลี่ยนชุดเพื่อให้พร้อมต่อการถ่ายรูปก่อนครับผม ซึ่ง บริเวณ Aero Plaza ที่อยู่ด้านตรงข้ามกับสนามบินคันไซ เค้ามีบริเวณสำหรับพักผ่อน และห้องน้ำที่เป็นแบบหยอดเหรียญ เอาไว้บริการนักท่องเที่ยว ด้วยครับ ซึ่งบริเวณนี้เราสามารถมานอนหลับ พักผ่อนเพื่อรอเครื่องบินได้ด้วย และยังมีที่ชาร์ทแบทมือถือ และมีผ้าห่มเอาไว้คอยแจกบริการอีกด้วย ซึ่งพวกเราก็ใช้บริการห้องอาบน้ำ ตรงจุดนี้ในการเปลี่ยนชุดกันก่อนเพื่อออกเดินทางครับผม
อาบน้ำเปลี่ยนชุดเรียบครับผมพร้อมลุยกันแล้ว ไปเริ่มต้นเที่ยวกันเลย
การเดินทางวันแรก : เกียวโต นารา
แผนการเดินทาง
- เดินทางไป ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ
- เดินทางไป สวนกวาง และวัดโทไดจิ จังหวัดนารา
- เดินทางกลับที่พัก โดยผ่าน สถานีKyoto เอากระเป๋า แล้วเดินทางไป สถานี JR Namba
- เดินทางด้วยเท้าซักพัก ถึงย่าน Dendentown เข้าที่พัก
…เราเริ่มออกเดินทางกันจากสนามบินคันไซไปยัง สถานีเกียวโตโดยใช้รถไฟ Haruka limited express trian ซึ่งตรงยาวไปยัง สถานีเกียวโตเลย โดยจะจอดแวะเพียงไม่กี่สถานีเท่านั้นครับผม โดยเวลาเดินทางจะใช้เวลาประมาน 60 นาทีครับผม ซึ่งตู้รถไฟที่เราจะใช้ได้จะเป็นตู้ 4-6 ครับผม เพราะเราไม่ได้ซื้อบัตรเป็นแบบจองที่นั่งมา ซึ่งถ้าเป็นช่วงคนเยอะๆ ก็อาจจะไม่มีที่นั่งต้องยืนเอาก็มีเหมือนกันครับผม
เมื่อเรามีถึงที่สถานีเกียวโตแล้ว เราก็นำกระเป๋าไปฝาก ที่ล็อคเกอร์หยอกเหรียญครับผม ซึ่งตรงนี้ผมแน่ะนำว่าใช้เป็นบัตร Icoca จะสะดวกกว่ามากครับ เพราะเราไม่ต้องเก็บสลิปที่เอาไว้สำหรับเปิดล๊อคเกอร์อีกครั้งครับผม ซึ่งเพียงแค่นำบัตรมาแตะที่ตัวแสกนก็สามารถนำประเป๋าออกมาได้แล้วครับผม
1.ศาลเจ้าเทพเจ้าจิ้งจอกอินาริ Fushimi Inari Shrine
…สถานที่เที่ยวแรก ศาลเจ้าเทพเจ้าจิ้งจอกอินาริ Fushimi Inari Shrine หรือศาลเจ้าที่มีเสาประตู โทริอิ สีแดงๆ ตั้งอยู่เรียงรายกันเต็มไปหมดนั้นแหละครับ ซึ่งวิธีการเดินทางไปยังศาลเจ้าอินาริ ไม่ยากเลยครับผม เราจะใช้รถไฟ JR Nara Line Local ซึ่งเป็นสายที่จะไปยัง นาราครับผม และก็ต้องเป็นรถไฟสาย Local ด้วยนะครับถึงจะจอดที่สถานี Inari ถ้าขึ้นแบบ Rapid จะไม่จอดนะครับผม ระวังอย่าขึ้นผิดกันนะครับ ส่วนเวลาการเดินทางจากสถานีเกียวโตนั้นขึ้นรถไฟเพียง 5 นาที ก็ถึงแล้วครับ
บัตรที่ใช้เดินทาง : ใช้บัตร JR Kansai Area Pass แบบ 2-days ราคา 4500 เยน
วิธีการเดินทาง : JR Nara Line Local ลงสถานี Inari
เมื่อมาถึงศาลเจ้าอินาริ สิ่งที่ทุกคนจะเห็นได้ก่อนเลยก็คือ เสาโทริอิ สีแดงใหญ่ที่ตั้งอยู่หน้าทางเข้า และยังมีรูปปั้นจิ้งจอกอีกมากมายที่เรียงอยู่ตามทางครั้บ เพราะเนื่องจากว่า ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นศาลเจ้าของเทพ อินาริ ซึ่งเป็นเทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ และมีจิ้งจอกเป็นสัตว์คู่กาย โดยศาลเจ้าแห่งนี้ เป็นที่ท่องเที่ยวที่นิยมเป็นอย่างมาก นักท่องเที่ยวเยอะมากๆครับ ซึ่งวันที่ผมไปก็มีนักท่องเที่ยวมามากมายเช่นกันครับ
คือถ้ามาที่นี้แล้วไม่มาถ่ายรูปคู่กับเสาโทริอินี้ก็เหมือนมาไม่ถึงยังไงก็ไม่รู้นะครับ ผมก็เลยจัดไปหลายร้อยรูปอยู่ครับผม มีบางมุมที่ถ่ายออกมาแล้วเฮ้ยยยย ไม่ติดคนเลย มุมกล้องดีมากเลยครับ ฮ่าๆๆ
…เมื่อเราเดินขึ้นไปถึงจุดที่มีร้านค้าขายขนมและเครื่องดื่ม บริเวณนี้จะมีบรรไดทางลง ซึ่งตรงนี้มีห้องน้ำให้ไว้บริการด้วยครับ ซึ่งถ้าเราเดินลงมาอีกหน่อยตรงนี้จะมี ศาลเจ้าเล็กๆแล้วก็เสาโทริอิตั้งอยู่ครับ ตรงนี้จะไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเดินลงมากันซักเท่าไร พวกเราเลยมายืนถ่ายรุปเล่นกันได้สบายๆ เลยครับผม
…นอกจาก ที่นี้จะมีเสาโทอิริที่ทุกคนนิยมไปถ่ายรูปกันแล้ว ที่ศาลเจ้านี้ ยังมีป่าไผ่อยู่ข้างๆ ศาลเจ้าด้วยนะครับ ซึ่งป่าไผ่นี้ต้องเดินเข้าไปลึกหน่อยครับ ถึงจะสวยไม่เท่ากับที่ Arashiyama แต่ข้อดีของที่นี้คือ มันไม่มีคนเลยครับผม คนน้อยมาก สามารถถ่ายรูปเล่น นั่งถ่ายรูป นอนถ่ายรูป ได้เต็มที่เลยครับ ซึ่งผมก็ไม่พลาดที่จะไปเก็บรูปมาฝากทุกคนเช่นกัน
เสร็จจากป่าไผ่ข้างๆศาลเจ้าแล้ว เราก็เดินกลับมาด้านในของศาลเจ้าอีกครั้ง เดินชมความสวยงามของศาลเจ้าและเสาโทริอิ เพื่อที่จะออกจากศาลเจ้ากันครับ โดยทางออกที่เราออกจะเป็นคนละทางที่ใช้เข้ามาในศาลเจ้าครับ โดยที่ทางด้านนี้จะมีพวกร้านขายของที่ระลึก และของกินตั้งอยู่มากมายครับผม พวกเราก็เดินเพลินแวะทานโน้นนี้ไปตามทาง
แต่ที่ปลื้มที่สุดคงจะไม่พ้น Soft Cream เต้าหู้ครับผม คือเฮ้ยยย อร่อยมากกก ฟินสุดๆ
2.เที่ยวเมือง Nara
….เมื่อกินอาหารและขนมกันอย่างหนำใจแล้ว เราก็วนกลับมาที่สถานีรถไฟ Inari เราจะเดินทางต่อไปยัง Nara ครับ โดยการเดินทางเราจะนั่งรถไฟสาย Local กลับไปที่ สถานี Kyoto เพื่อไปเปลี่ยนขึ้นเป็นรถไฟแบบ Rapid ที่ใช้เวลาประมาน 45 นาทีซึ่งจะไป Nara ได้ไวกว่าแบบ Local ที่ใช้เวลาประมาน70นาที และจอดหลายสถานีครับผม
บัตรที่ใช้เดินทาง : ใช้บัตร JR Kansai Area Pass แบบ 2-days ราคา 4500 เยน
2.1. สวนกวางนารา Nara Park
….เมื่อเราเดินทางมาถึงยังสถานีนารา การเดินทางต่อไปของเราก็คือ..เราจะขึ้นรถบัสประจำทางเพื่อไปลงที่ สวนกวางนารา Nara Park กันครับผม โดยเป้าหมายในการมาที่นาราของเรานั้นคือการมาเล่นกับน้องกวางและมาชมวัดโทไดจิกันครับผม นั่งรถประจำทางเพียงแป๊ปเดียวเราก็มาถึงสวนกวางนารากันแล้วครับผม ซึ่งแถวนี้ต้องบอกเลยว่าซากุระบานเต็มไปหมดสวยมากๆเลยครับ สวยจนทำให้พวกเรามัวแต่ เดินไปเดินมาถ่ายรูปกับดอกซากุระ จนลืมน้องกวางที่รอเราอยู่ไปเลยครับผม
บัตรที่ใช้เดินทาง : ใช้บัตร ICOCA
วิธีการเดินทาง : นั่งรถบัสจาก สถานี Nara มาลง Todaiji Daibutsuden Bus Stop และเดินต่ออีกประมาน 5 นาที
ตรงนี้จะมีวัดๆ หนึง ที่มีต้นซากุระบานสวยเลย คนมาถ่ายรูปเยอะมากๆเลยครับ
….เมื่อถ่ายรุปกับซากุระ ได้เป็นที่พอใจแล้วก็ถึงเวลาที่เราจะไปเล่น และให้อาหารน้องกวางของเรากันแล้วครับ โดยที่สวนกวางนารานี้ มีกวางเยอะมากเป็นพันตัวเลยทีเดียว และที่สำคัญคือ น้องกวางเชื่องและเป็นมิตรกับคนมากเลยครับ
โดยสิ่งแรกที่เราทำเมื่อไปถึงก็คือ…การไปซื้ออาหารให้น้องกวางครับ โดยกวางที่นี้จะชอบทาน ขนมเซนเบ้ ที่เป็นแผ่นๆ คล้ายข้าวเกรียบ ลองป้อนน้องด้วยปากดูครับผม แอบกลัวน้องจะกัดอยู่เหมือนกัน
….กวางที่นี้เชื่องมากเลยครับ คุ้นเคยกับคนมากๆ บางตัวมีการโค้งคำนับก่อนที่เราจะยื่นอาหารให้ด้วยครับผม แต่ก็มีบางตัวที่ดูเหมือนจะอารมณ์ไม่ค่อยดี อาจจะมีมากัดและดึงชายเสื้อเราระหว่างให้อาหารบ้าง ยังไงก็ต้องระวังกันด้วยนะครับ
แถวๆนี้เค้ามีบริการรถลากให้เช่าด้วยนะครับ สำหรับใครที่อยากลองสัมผัสบรรยาศแบบโบราณๆ ก็ลองกันได้นะครับ
2.2. วัดโทไดจิและหลวงพ่อโต – Todaiji Temple & Daibutsu of Nara
…เมื่อเราให้อาหารน้องกวางกันเป็นที่พอใจแล้ว เราก็เดินกันไปต่อเพื่อที่จะขึ้นไปยังวัดโทไดจิ หรือที่หลายๆคนเรียกว่าวัดหลวงพ่อโต นั้นเองครับ ซึ่งเมื่อเราเดินเข้ามาในเขตของวัดแล้วต้องบอกเลยว่า อาคารหลักของวัดแห่งนี้ มีความยิ่งใหญ่อลังการ มากจริงๆครับผม ซึ่งอาคารหลักนี้นับได้ว่า เป็นอาคารไม้ที่ใหญ่ที่สุดแห่งนึงในโลก เชียวนะครับ และนอกจากตัวอาคารแล้ว ทางด้านในของอาคารก็ยังเป็นที่ประดิษฐานของ หลวงพ่อโตหรือ ไดบุตสึเดน ครับผม
วิธีการเดินทาง : เดินจาก Todaiji Daibutsuden Bus Stop ประมาณ 5 นาที
ค่าเข้าชม : 500 เยน
บริเวณรอบๆ นี้ก็ยังมีซากุระออกดอกอีกมากมายครับผม พวกผมเลยตัดสินใจกันว่าเราจะไม่นั่งรถกลับ แต่จะเดินชมบรรยากาศของดอกซากุระและเมืองนารายามเย็นเพื่อเก็บภาพสวยๆกันไปเรื่อยๆครับ เมื่อเดินไปได้เรื่อยๆไม่นานก็มาถึงสถานีรถไฟนาราครับ โดยที่วันนี้เราจะต้องกลับไปนอนที่ โอซาก้ากันครับผม
เดินไปไม่ถึงไหนก็ต้องหยุดถ่ายรูปอีกเช่นเคยครับผม ดอกซากุระแถวนี้สวยจริงๆครับ ทางเดินกลับระหว่างไปสถานีรถไฟ แสงแดดยามเย็นสวยมากครับ
เมื่อมาถึงโอซาก้าก็เป็นเวลาค่ำมากแล้ว เราจึงรีบเดินลากกระเป๋าเพื่อเข้าที่พักแล้วออกมาหาอะไรรองท้องเล็กน้อยแบบง่ายๆ กันก่อนนอนเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมไปลุยกันต่อในวันพรุ่งนี้ครับผม
การเดินทางวันที่ 2 : เกียวโต
แผนการเดินทาง
- วัดคิโยมิซุ จังหวัดเกียวโต
- วัดคิโยมิซุ ชมวัดถ่ายรูปซากุระ
- ถนนนักปราชญ์ ใกล้กับวัด คินคะคุจิ
- กลับไปยัง ชินไซบาชิ โดทงบุริ โอซาก้า
- ทานราเมนข้อสอบ ช็อปปิ้งเล็กน้อย เดินกลับที่พัก
…เริ่มต้นเช้าวันที่สองกันที่โอซาก้าครับผม พวกเราตื่นเช้าอาบน้ำแต่งตัว เพื่อที่จะออกเดินทางไปเกียวโตอีกรอบ โดยยังใช้บัตร JR Kansai Area Pass แบบ2วัน ใบเดิมของเราครับผม โดยที่เราเดินทางจาก โอซาก้ามาลงสถานีเกียวโต โดยสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆของเราในวันนี้จะอยู่ในเกียวโต
วิธีการเดินทาง : ขึ้นรถไฟ JR จากถานี JR Namba ไปลงสถานี Tennoji จากนั้นเปลี่ยนรถเป็น Haruka limited express trian จากสถานี Tennoji ลงสถานี Kyoto
พอถึงเกียวโต วันนี้เราจะเดินทางโดยใช้รถประจำทาง แต่ก่อนอื่นเลยคือเราต้องไปซื้อตั๋วกันครับ เพื่อความสะดวกสบาย เราเลือกใช้เป็น Kyoto City bus & Kyoto bus แบบ 1-day pass กันครับ คือบัตรแบบนี้อะครับ สามารถใช้ขึ้นรถบัสต่างๆในเกียวโตได้เกือบทุกสายในเกียวโตเลยครับแบบไม่จำกัดจำนวนครั้งด้วย ส่วนสถานที่ซื้อก็ไม่ยากเลยครับ จุดขายตั๋วจะอยู่ตรง City bus office ซึ่งถ้าเดินออกมาจาก สถานีรถไฟเกียวโต จะอยู่ทางขวามือครับผม โดยบัตรแบบ 1day จะราคาอยู่ทีใบละ 600 เยนครับผม
…หลังจากที่ได้บัตรสำหรับขึ้นรถบัสแล้วเราก็มาขึ้นรถบัสกันครับผม ซึ่งสายที่ผมจะแนะนำให้ใช้ก็คือรถบัสสาย 100 ที่จุดจอดรถอยู่ข้างๆกับออฟฟิศจำหน่ายตั๋วเลยครับ โดยสาย 100 เนี้ยแทบจะผ่านทุกจุดท่องเที่ยวที่เป็นจุดสำคัญๆ หมดเลยครับผม เรียกได้ว่าขึ้นสายเดียววนรอบเกียวโต ง่ายๆสบายๆ ไม่มีหลงแน่นอนครับ เมื่อมายืนรอต่อแถวเราก็จะเจอกับพนักงานที่จะมาเช็คบัตรโดยสารของเราครับ โดยที่เราจะยื่นบัตรโดยสารให้พนักงานเพื่อที่จะประทับวันที่ ตามวันที่เราเดินทางครับผม หลังจากนั้นเวลาเราขึ้นรถบัสเราก็เพียงแค่โชว์ด้านหลังของบัตรที่มีการประทับวันที่เรียบร้อยแล้วให้คนขับรถดูก็สามารถขึ้นรถได้แล้วครับผม
1.วัดคิโยะมิซุ (Kiyomizu-dera)
โดยที่แรกที่เราจะไปกันก็คือ วัดคิโยะมิซุ หรือวัดน้ำใส Kiyomizu-dera โดยการเดินทางไปก็ง่ายๆครับ สามารถลงรถบัสได้ที่ Kiyomizu-michi bus stop หรือว่า Gojo-Zaka ก็ได้ครับผม แล้วก็เดินขึ้นเขาไปอีกประมาณ 10 นาทีก็จะถึงวัดแล้วครับผม โดยจุดที่เราลงคือ Gojo-Zaka ครับผมแล้วเดินขึ้นไปทางด้านนี้ ซึ่งสองข้างทางจะมีร้านต่างๆมากมาย มาทั้งขนม อาหาร และของฝากให้เลือกชิมเลือกช้อปกันได้เลยครับ และนอกจากนั้นยังมีร้านเช่ากิโมโน ด้วยครับผมเผื่อใครที่อยากจะแต่งชุดให้เข้ากับบรรยากาศก็สามารถทำได้ครับผม โดยราคาจะเริ่มต้นที่ 3000 เยนครับ
บัตรที่ใช้เดินทาง : Kyoto City bus & Kyoto bus แบบ 1-day pass ราคา 600 เยน
วิธีการเดินทาง : ขึ้นรถบัสสาย 100 จากสถานี Kyoto ไปลง Gojo-Zaka bus stop จากนั้นเดินต่อไปอีกประมาณ 10 นาที
ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 300 เยน / นักเรียน 200 เยน
เมื่อเดินขึ้นเขามาเรื่อยๆ เราก็จะพบกับบริเวณของวัดครับผม ซึ่งตอนที่ผมมานั้น ดอกซากุระกำลังออกดอกเต็มไปหมดทั้งวัดเลยครับผม เป็นภาพที่สวยงามมากเลยครับ
โดยวัดน้ำใสนี้ เป็นวัดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในญี่ปุ่นเลยครับ ส่วนที่เรียกกันว่าวัดน้ำใสนั้นมาจากน้ำตกโอโตวะที่ไหลมาเองผ่านตัววัดครับผมแถมยังได้รับบันทึกให้เป็นมรดกโลกจาก ยูเนสโก ด้วย โดยที่ตัวอาคารหลักของวัดแห่งนี้เป็นจุดที่มีชื่อเสียงที่สุดเลยก็ว่าได้ โดยอาคารสร้างจากไม้ทั้งหลังและยังสูงจากพื้นดินถึง 13 เมตร แต่ที่น่าทึ่งกว่านั้นก็คือ ตัวอาคารนี้สร้างโดยไม่ได้ใช้ตะปูเลยครับผม แต่เนื่องจากตอนที่เราไปพื้นที่ส่วนนี้กำลังมีการซ่อมบำรุงอยู่ซึ่งซ่อมบำรุงมาตั้งแต่ปี 2017 จนถึงปี 2020 แต่ก็ยังมีการเปิดให้เข้าชมได้อยู่ แต่อาจจะไม่ได้สวยงามเท่าที่เราเห็นในรูปก็ตาม
เอาล่ะ ถึงเราจะไม่ได้ชมความสวยงามแบบเต็มๆของตัวอาคารหลักก็ตาม แต่รอบๆบริเวณวัดนั้นก็สวยงามมากไม่แพ้กันครับผม แล้วยิ่งช่วงนี้เป็นช่วงของซากุระบานด้วยแล้ว ทำให้มุมทุกของวัดเต็มไปด้วยดอกซากุระกันเลยทีเดียว ถ่ายรูปกันได้ไม่เบื่อเลยครับผม
2.ย่านฮิกาชิยาม่า Higashiyama
…ถัดจาก วัดน้ำใส เราก็เดินต่อไปยังย่านฮิกาชิยาม่า Higashiyama กันครับผมซึ่งย่านนี้จะอยู่ติดกับวัดน้ำใสเลยครับ เป็นย่านเดินเล่นช้อปปิ้งและหาของอร่อยๆกิน โดยที่สองข้างทางจะมีทั้งร้านอาหาร ร้านขนมท้องถิ่น และของอื่นๆเช่นพวกจานชาม เครื่องประดับอยู่มากมาย สามารถเลือกชมกันได้เลยครับ
บัตรที่ใช้เดินทาง : Kyoto City bus & Kyoto bus แบบ 1-day pass ราคา 600 เยน
เวลาเปิด–ปิด : 10:00 – 18:00 น.
วิธีการเดินทาง : เดิน 10 นาที จากGojo-Zaka bus stop ) สายรถบัส 100, 206
และที่สำคัญคือ อาคารสองข้างทางยังคงความเป็นญี่ปุ่นแบบโบราญแถมยังมีผู้คนเดินแต่งกายด้วยชุดกิโมโน ทำให้เข้ากับบรรยากาศมากๆ เลยครับ
มีแต่ของอร่อยๆ หยุดกินไม่ได้เลยครับ
3.ถนนสายนักปราชญ์ (Philosopher’s Path)
…หลังจากที่เราเดินทานขนมกันจนอิ่มแล้วเราก็มายืนรอรถบัสโดนใช้สาย 100 อีกครั้ง โดนจุดหมายถัดไปของเราก็คือ การไปชมซากุระ ที่วัดกินคะคุจิ หรือวัดเงิน ซึ่งทางด้านหน้าวัดจะมีทางเดินเลียบกับคลอง ที่รู้จักกันในชื่อ ถนนสายนักปราชญ์ โดยยทางเดินจะเริ่มต้นที่วัดกินคะคุจิไปจนสุดทางที่วัดนันเซ็นจิ มีความยาวประมาน 2 กิโลเมตร
บัตรที่ใช้เดินทาง : Kyoto City bus & Kyoto bus แบบ 1-day pass ราคา 600 เยน
วิธีการเดินทาง : ขึ้นรถบัสสาย 100 จาก Gojo-Zaka bus stop ไปลงยัง Ginkakuji-mae
ซึ่งเค้าว่ากันว่าจุดนี้แหละครับ ที่เป็นหนึ่งในจุดที่ชมซากุระ ที่สวยที่สุดในเกียวโตเลย ครับผม จึงทำให้เราไม่สามารถพลาดได้ด้วยประการทั้งปวงครับ ต้องรีบไปเก็บภาพสวยๆมากฝากทุกคนกัน
4.วัดกินคะคุจิ (Ginkakuji Temple)
…สิ่งแรกที่ทุกคนมาถึงทางเข้าหน้าวัดกินคะคุจิหรือวัดเงิน ในช่วงนี้จะต้องได้พบก็คือ แนวทิวของต้นซากุระที่ยาวไปสุดถนน เต็มไปด้วยดอกไม้ และที่เยอะไม่แพ้กันเลยก็คือ ปริมาณนักท่องเที่ยวที่มาชมซากุระนั้นเอง ตรงจุดนี้ พวกเราเลือกที่จะเดินไปถ่ายรูปเล่นนิดๆหน่อยๆ ก่อนที่จะเดินขึ้นไปยังวัดเงินกันครับผม
บัตรที่ใช้เดินทาง : Kyoto City bus & Kyoto bus แบบ 1-day pass ราคา 600 เยน
วิธีการเดินทาง : ขึ้นรถบัสสาย 100 จาก Gojo-Zaka bus stop ไปลงยัง Ginkakuji-mae แล้วเดินต่อประมาณ 5 นาที
ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 500 เยน
…วิธีการเดินทางก็ง่ายนิดเดียวครับผม ลงรถบัสที่ Ginkakuji-mae แล้วเดินตรงยาวขึ้นเนินไปทางวัด ประมาน 5 นาทีก็ถึงแล้วครับ โดยสองข้างทางก็จะมีร้านอาหาร ของกิน เช่นเดียวกัน จึงทำให้พวกเราอดไมได้ที่จะต้องแวะหา ของกินเพื่อรองท้องกันก่อนครับผม
เมื่อเดินเข้ามาในวัดจะต้องไปซื้อบัตรเข้าชมก่อนนะครับ ราคาคนละ 500 เยน เมื่อได้บัตรเรียบร้อยแล้วจึงสามารถเข้าไปในวัดได้เลยครับผม วัดกินคะคุจิ หรือว่าวัดเงินนั้น เป็นวัดในนิกานเซ็นครับผม โดยถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ พำนักของท่านโกชุนในช่วงปลายชีวิตหลังเกษียณครับผม โดยชื่อวัดและและรุปแบบของวัดก็ได้มาจากวัดคินคะคุจิ หรือว่าวัดทองนั้นเองครับผม
บรรยากาศภายในวัดจะมีความสงบและร่มรื่นมากเลยครับ หลังจากที่เราได้ถ่ายรูปซากุระกันอย่างเป็นที่พอใจในเกียวโตแล้วเราก็เดินทางกลับไปทาง สถานีเกียวโตด้วยรถบัสสาย 100 เช่นเคยครับ แล้วก็นั่งรถไฟ JR Haruka กลับไปยังโอซาก้าเพื่อที่จะเข้าที่พักของเราครับผม
5.ย่านโดทงโบริ Dotonbori
…แต่ก่อนที่เราจะเข้าที่พัก เราแว่ะเดินเล่นกันที่ย่านโดทงโบริ Dotonbori กันก่อนซึ่งต้องบอกไว้ก่อนว่า ที่พักเราอยู่ใกล้กับย่านนี้มากๆ ทำให้สามารถเดินไปเดินกลับกันได้แบบสบายๆ เลย ซึ่งถ้าจะพูดถึงแหล่งช้อปปิ้ง กิน เที่ยว ของโอซาก้าแล้วก็คงไม่พ้นย่านนี้ครับ ซึ่งมีทั้งเสื้อผ้า ของเครื่องใช้ต่างๆ อาหาร และขนมให้เลือกกันอย่างมากมายเลยครับซึ่งวันนี้ เราแค่ผ่านมาแวะผ่านมาซื้อของเล็กๆน้อยๆแล้วก็แวะทานข้าวกันครับผม
บัตรที่ใช้เดินทาง : ICOCA / JR Kansai Area Pass แบบ 2-days ราคา 4500 เยน
วิธีการเดินทาง : ขึ้น JR สถานีเกียวโต สาย Tokido-sabyo line ไปยัง สถานี Shin osaka จากนั้นเปลี่ยนไปใช้ Matro Midosuji line ไปสถานี Shinsaibashi
คือถ้ามาย่านนี้แล้วไม่ถ่ายรูปกับป้ายกูลิโกะ ก็เหมือนมาไม่ถึง ผมก็เลยต้องขอจัดซักภาพครับ
6.อิจิรัน ราเมน ราเมนข้อสอบ (ichiran ramen)
…โดยอาหารเย็นวันนี้ ในเมื่อมาถึงย่านนี้แล้วคงจะพลาดไม่ได้กับ ราเมนข้อสอบ หรือ Ichiran ramen นั้นเองครับผม ซึ่งตอนแรกเราจะไปนั่งกินกันที่สาขา 1 ที่อยู่ติดริมแม่น้ำครับผม แต่เนื่องด้วยสาขาแรกนั้นคนต่อแถวยาวมากกกกกก จึงทำให้เราเลือกที่จะเดินเข้ามาด้านใน ซึ่งตรงนี้แหละครับ จะมีอีกสาขาครับผมคนจะต่อแถวที่นี้น้อยกว่าแล้วก็ยังมีที่นั่งมากกว่า อีกด้วยครับ
เวลา : เปิดบริการ 24 ชั่วโมง
วิธีการเดินทาง : สถานีรถไฟใต้ดิน Nanba หรือ Nipponbashi
…เมื่อมาถึงในร้านพนักงานก็จะแจกกระดาษ ตามแบบในรูปคนละใบครับผมให้เราเลือกว่าวงกลมว่า เราต้องการราเมนในรูปแบบใบ ตั้งแต่ ความเข้นข้นของน้ำซุป ปริมานต้นหอม กระเทียม ท้อปปิ้งต่างๆ จนไปถึงระดับความสุกของเส้นครับผม เมื่อเราเลือกเสร็จแล้วก็ไปกดสั่งราเมนแล้วก็หยอดเงินที่เครื่องครับจะได้เป็นบัตรใบเล็กๆออกมาเอาไว้ให้เราไปยื่นให้พนักงานตอนเรานั่งที่โต๊ะอีกทีครับผม
เมื่อทานเสร็จแล้วเราก็แวะซื้อของกันเล็กน้อย ซึ่งบริเวณแถวๆนี้จะมาพวกร้านยา ร้านขายพวกเครื่องสำอางค์ อะไรจำพวกนี้อยู่มากมายเลย หลังจากซื้อของเล็กน้อยเป็นที่พอใจแล้วเราก็กลับที่พักเพื่อพักผ่อนเตรียมพร้อมในวันถัดไปกันครับ
การเดินทางวันที่ 3 : ตลาดปลาคุโรมง ปราสาทโอสาก้า นั่งเรือชมซากุระ
แผนการเดินทาง
- ตลาดปลา คุโรมง อิจิบะ ทานปลาสดๆ
- ปราสาทโอซาก้า ชมสวนซากุระ และขึ้นดูวิวบนยอดปราสาท
- illusion Museum ใกล้ๆ กลับ ปราสาทโอซาก้า
- นั่งเรือชมซากุระ Okawa Sakura river cross ซึ่งมีเฉพาะช่วงต้นเดือน
- เดินทางกลับไป Shinsaibashi ช็อปปิ้ง เดินกลับที่พัก
…เริ่มต้นเช้าวันที่สามกันอย่างสบายๆ ครับวันนี้ เพราะวันนี้เราจะเที่ยวกันในเมืองโอซาก้า จึงทำให้วันนี้เราตื่นสายกันหน่อย ไม่รีบมากครับโดยจุดมุ่งหมายแรกของเราก็คือ การหาของอร่อยๆกินกันในยามสายๆ โดยที่ ที่เราจะไปหาอะไรรองท้องกันนั้นก็คือ ตลาดคุโรมง โอซาก้า Kuromon Ichiba Market นั้นเองครับ
1.ตลาดคุโรมง โอซาก้า Kuromon Ichiba Market
…วิธีการเดินทางของเราในเช้านี้ เนื่องจากที่พักเราอยู่ใกล้ๆเลยครับ เราก็เลยเดินกันไปครับผม ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีก็ถึงตลาดปลาครับผม เมื่อเดินมาถึงเราก็จะพบกับอาคารที่ตั้งเรียงรายและมีหลังคาครอบยาวตลอดทั้งทางครับ สองข้างทางจะเต็มไปด้วย อาหารสด และอาหารปรุงสุดเต็มไปหมดเลยครับ เลือกทานกันได้ตามใจชอบเลย
เวลา : แล้วแต่ร้านค้า แต่ร้านอาหารสดส่วนใหญ่จะเปิดถึงบ่ายๆ
วิธีการเดินทาง : สถานีรถไฟใต้ดิน Nippombashi
และในเมื่อเรามาถึงตลาดปลา สิ่งที่เราจะพลาดไมได้เลยก็คงจะเป็นปลาดิบครับผมที่จะต้องทานให้ได้ ซึ่งเมื่อได้สั่งมาทานแล้วต้องบอกเลยครับว่ามัน โคตรจะสดและอร่อยมากๆเลยครับผม ฟินสุด
…เมื่อเดินทานนั่นทานนี้กันตามสองข้างทางซักพักเราก็ออกจากตลาดปลาเพื่อไปยังจุดหมายถัดไปกันครับ โดยการเดินทางของเราในสองวันถัดไปนี้เราจะใช้การเดินทางโดยรถไฟใต้ดิน Osaka Metro เป็นหลักเลยครับผม เราก็เลยจะต้องไปที่สถานีรถไฟกันก่อนครับ
เนื่องจากช่วงสองวันถัดไปเราจะใช้แต่รถไฟเป็นหลัก เราก็เลยไปซื้อบัตร Osaka Amazing Pass แบบ 2-Day มาใช้กันครับผม ซึ่งบัตรนี้นะครับ ดีมากๆเลยสำหรับผู้ที่ต้องการจะเที่ยวในโอซาก้า เพราะนอกจากจะขึ้นรถไฟ ได้แบบไม่จำกัดแล้ว ยังสามารถใช้เป็นบัตรผ่านในการเข้าแหล่งท่องเที่ยวทั่วเมืองโอซาก้า ได้ฟรีอีกด้วยครับผม โดยสามารถซื้อได้ Ticket Office ที่สถานีรถไฟทั่วโอซาก้าเลยครับ
2.ปราสาทโอซาก้า Osaka Castle
โดยจุดหมายแรกที่เราจะไปกันก็คือ ปราสาทโอซาก้า Osaka Castle โดยการเดินทางเราเดินทางไปลงยังสถานี Tanimachi Yonchome และเดินผ่านสวนปราสาทโอซาก้า Osaka castle park เพื่อที่จะเข้าไปยังตัวปราสาทกันครับ
บัตรที่ใช้เดินทาง : Osaka Amazing Pass 2-days ราคา 3300เยน
วิธีการเดินทาง : ลงสถานี Tanimachi Yonchome แล้วเดินต่ออีกประมาณ 10 นาที
ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 600 เยน เด็กนักเรียนต่ำกว่าชั้นมัธยมต้น ฟรี (ถ้ามีบัตรOsaka Amazing Pass ก็เข้าฟรี )
เวลา : 9:00 – 17:00 น.
แต่ก่อนที่จะเข้าไปยังตัวปราสาท จุดที่จะต้องแวะก่อนในช่วงซากุระบานแบบนี้ก็คือสวนแห่งนี้แหละครับ เพราะช่วงนี้แหละที่จะเป็นช่วงที่ชาวญี่ปุ่นออกมา ปิ๊กนิค นั่งชมดอกซากุระกัน ซึ่งจะเห็นได้จากในภาพว่ามีชาวญี่ปุ่นเยอะมากๆเลยครับที่ออกมานั่งเล่น ทานอาหาร ทำกิจกรรมต่างๆกันเต็มไปหมด และนอกจากนี้แถวๆนั้นก็ยังมีบูธร้านอาหารต่างๆมาตั้งขายกันเต็มไปหมดอีกด้วยครับ
เดินมาเรื่อยๆเราก็เข้ามายังตัวปราสาทโอซาก้ากันครับ ตอนที่เดินเข้ามาตอนแรกเห็นแถวที่ต่อซื้อบัตรเข้าปราสาทโอซาก้าแล้วตกใจมาก คือแถวยาวมากกกกก คือลืมไปว่าเรามี Amazing Pass ครับ ซึ่งเราสามารถ โชว์บัตรที่ด้านหน้าทางเข้าให้พนักงานทำการแสกนบัตรของเราแล้วเข้าไปด้านบนได้เลยครับผม สะดวกสบายจริงๆ
พอเข้ามาด้านในก็จะเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติต่างๆความเป็นมาของ ปราสาทนี้ครับผม ส่วนที่ยอดด้านบนชั้น 8 ของตัวปราสาทจะเป็นจุดชมวิวครับ สามารถขึ้นไปชมวิวมองเห็นเมืองได้โดยรอบเลยครับ
นอกจากตัวปราสาทแล้ว บริเวณสวนรอบๆปราสาทโอซาก้าก็สวยงามไม่แพ้กันเลยครับ มีแต่มุมถ่ายรูปสวยๆกับดอกซากุระ จึงทำให้พวกเรานั้นมัวแต่ถ่ายรุปกัน ใช้เวลาไปอีกพักใหญ่เลยครับ ก่อนที่เราจะเดินเข้าไปในตึก MIRAIZA OSAKA-JO ที่อยู่กับข้างๆปราสาทเลยครับ โดยด้านในตึกนี้ มีร้านอาหาร Cafe แล้วก็ร้านของฝากอีกมากมายเลยครับผม
3.ILLUSION MUSEUM
…และที่เราจะไปกันต่อคือ ILLUSION MUSEUM ซึ่งอยู่ชั้นล่างของตึกนี้เองครับ โดยเราสามารถเข้าชมได้เลยฟรีๆ ด้วยบัตร Amazing Pass ครับ แต่จะชมได้เฉพาะโซนที่เป็นจัดโชว์ ถ้าอยากดูการแสดงมายากลจะต้องจ่ายตังเพิ่มนิดหน่อยครับผม ซึ่งภายในโซนจัดแสดงก็จะมีกิจกรรมต่างๆให้เราทำอยู่มากมายเลยครับผม
วิธีการเดินทาง : อยู่ติดกับปราสาทโอซาก้า
ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 1200 เยน เด็กอายุ 4-11 700เยน (ถ้ามีบัตรOsaka Amazing Pass เข้าฟรีเฉพาะส่วนจัดแสดง ถ้าอยากจะเข้าชมการแสดงต้องจ่ายเพิ่ม 500 เยน )
เวลา : 9:00 – 17:30 น.
4.Keihan City Mall – Okawa Sakura Cruise
เสร็จจากปราสาทโอซาก้า เราก็เดินต่อไปยัง Keihan City Mall ซึ่งตรงนี้จะเป็นจุดที่เราสามารถไปล่องเรือในแม่น้ำชมดอกซากุระกันได้ครับผม ซึ่งภายใน1 ปี จะมีเรือจัดไว้ให้บริการชมดอกซากุระแค่เพียง 20 วันเท่านั้นครับ
วิธีการเดินทาง : ลงรถไฟ Metro ที่สถานี Temmabashi
ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 1200 เยน เด็กอายุ 4-11 600เยน (ถ้ามีบัตรOsaka Amazing Pass เข้าฟรี )
เวลา : 10:00 – 19:00 น.
ซึ่งเมื่อเรามาถึงแล้วเราต้องนำบัตร Amazing Pass ของเราไปแลกที่จุดจำหน่ายตั๋ว สำหรับขึ้นเรือมาก่อนครับผม ซึ่งจุดแลกตั๋วก็อยู่ที่ชั้นใต้ดินของ Keihan City Mall ตรงใกล้ๆกับท่าเรือนั้นเองครับ
หลังจากที่ได้ตั๋วมาแล้วเราก็ต้องไปต่อแถวเพื่อขึ้นเรือกันครับผม จะบอกว่าแถวยาวมากครับ แต่ก็รอไม่นานอย่างที่คิดเพราะมีเรือให้บริการเยอะมากๆ
รอได้ไม่นานเราก็ได้ขึ้นเรือไปนั่งชมซากุระริมแม่น้ำกันครับ ตรงนี้ผมแนะนำว่า ควรจะพกขนม ของกินหรือว่าเครื่องดื่มมาด้วยครับ เพื่อตอนล่องเรือจะได้บรรยากาศยิ่งขึ้นครับผม โดยที่เวลาที่ใช้ล่องเรือจะอยู่ที่ประมาน 30 นาทีครับผม
เมื่อเสร็จจากล่องเรือ พวกเราก็ยังใช้เวลาเดินชมซากุระสองข้างทางอีกนิดหน่อยในยามเย็นๆก่อนที่จะเดินทางกลับไปยังย่านประจำของพวกเรา โดทงโบริ นั้นเองครับ ส่วนร้านวันนี้ที่เราจะแว่ะมาลองทานกันนั้นก็เป็นร้านซูชิ ที่มีคนต่อแถวยาวมากๆอีกร้านนึง เพราะนอกจากจะถูกแล้วยังให้เยอะมากอีกด้วย รับรอง ฟินแน่นอน แต่เนื่องจากคนเยอะทำให้พวกเราขี้เกียจที่จะยืนรอกันครับ เลยซื้อแบบกลับบ้านมานั่งทานที่ ที่พักของเรา
การเดินทางวันที่ 4 : โอซาก้า DenDentown ชิงช้าสวรรค์ยักษ์
แผนการเดินทาง
- เดินเล่น ดูของเล่น ดูอนิเมะ ย่าน Dendentown
- ไป ชิงช้าสวรรค์ยักษ์ Tempozan Giant Ferris wheel
- เดินทางกลับเดินเล่น ชินไซบาชิกับ โดทงบุริ อีกวันเดินทางกลับที่พัก
….โอฮาโย สวัสดีตอนเช้าของวันที่สี่ครับผม วันนี้เป็นหนึ่งวันที่ผมสดใสมากๆ เพราะอะไรนะหรอ เพราะวันนี้แพลนของเรา ก็คือการช้อปปิ้ง ช้อปปิ้ง แล้วก็ช้อปปิ้ง ฮ่าๆๆ โดยวันนี้เราจะไปตามเก็บแหล่งต่างๆที่เค้าว่าดีกันนะครับ
1.Denden Town
….เราเริ่มการเดินเที่ยวเล่นตอนเช้ากันที่ Denden Town ซึ่งก็คือย่านที่พักของเรา มาตลอดทุกวันนั้นเอง ซึ่งสถานที่แห่งนี้ก็คือแหล่งรวมของเล่น และเกม ที่ใหญ่ที่สุดในโอซาก้านั้นเองครับ ซึ่งบอกเลยว่าไม่แพ้อากิฮาบาร่าของโตเกียวเลยครับผม
…วิธีการเดินทางมายังย่านนี้ก็ไม่ยากเลยครับ นั่งรถไฟมาลง สถานี Namba แล้วเดินอีกนิดนึงก็ถึงแล้ว สังเกตุได้ง่ายๆจากบรรดา แผ่นป้ายโฆษนาต่างๆที่จะมีแต่ การ์ตูนและเกมเต็มไปหมด สองข้างทางจะแน่นไปด้วย บรรดาของเล่นต่างๆที่ตั้งโชว์และ ตู้ Gachapon จำนวนมากมายที่เลือกเสี่ยงดวงกันได้
บัตรที่ใช้ : Osaka Amazing Pass 2-days ราคา 3300เยน
วิธีการเดินทาง : ลงรถไฟ Metro ที่สถานี Nippombashi
โดยร้านส่วนใหญ่ที่นี้จะมีหลายชั้นครับผม ของแต่ละอย่างจะถูกจัดแบ่งตามประเภท ไม่ว่าจะเป็น โมเดล ฟิกเกอร์ เข็มกลัดต่างๆ การ์ดเกม ของสะสมจากการ์ตูนเรื่องต่างๆ ตุ๊กตา และพวกชุดสำหรับแต่งคอสเพลก็มีเช่นกันนะครับ
ส่วนบางชั้นก็จะเป็นพวกของเล่นเฉพาะผู้ใหญ่ ก็มีเช่นกันครับผม แต่จะกำหนดอายุในการเข้าไปด้วยน้า
2.ชิ้งช้าสวรรค์ Tempozan ferris wheel
…พวกเรา เดินเล่นกันนานมากๆ ครับที่ denden town ดูนั้นดูนี้กันนานจนตกบ่ายๆเลยชวนกันว่า เรานี้เราจะมาแค่ช้อปแบบนี้ไม่ได้ เราต้องพาไปเที่ยวที่สวยๆด้วยสิ้ ก็เลยคิดว่างั้นเราควรที่จะไปนั่งชิ้งช้าสวรรค์ชมพระอาทิตย์ตกดินกันดีกว่า เราก็เลยไปที่นี้กันเลยครับ Tempozan ferris wheel ซึ่งตั้งอยู่ที่ท่าเรือเก่าของโอซาก้าครับผม
วิธีการเดินทาง : ลงรถไฟ Metro ที่สถานี Osakako
ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 800 (ถ้ามีบัตรOsaka Amazing Pass เข้าฟรี )
เวลา : 10:00 – 20:00 น.
ซึ่งวิธีการเดินทางก็ไปยัง สถานี Osakako แล้วเดินเข้าไปก็ถึงแล้วครับผม ซึ่งบริเวณรอบๆนี้มีแหล่งท่องเที่ยวแล้วก็กิจกรรมอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Lego Land และพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำไคยูคัง (Osaka Aquarium Kaiyukan) ก็อยู่ที่นี้ด้วยครับผม
โดยที่เราสามารถใช้บัตร Amazing Pass ในการขึ้นชิ้งช้าสวรรค์ได้ฟรีด้วยนะครับ แต่ส่วนพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำไคยูคัง ยังต้องเสียเงินเพิ่ม แต่สามารถใช้บัตร Amazing pass เป็นส่วนลดได้อยู่ครับผม
นอกจากนั้นแถวๆ นี้ยังมีมุมถ่ายรูปในบรรยากาศของท่าเรือเก่าๆ ให้เราได้เดินถ่ายรูปเล่นกันได้ด้วยครับผม
…เสร็จจากท่าเรือเก่าเราก็กลับมายังแหล่งประจำของเราอีกรอบ ซึ่งคราวนี้บอกเลย ว่าเราไม่ได้มาเล่นๆแบบสองวันที่แล้ว วันนี้เราจะมาช้อปปิ้งกันแบบจริงๆจังๆ ในย่าน ซินไซบาชิ และ โดทงโบริกันครับผม โดยในย่านนี้นะครับ จะมีร้านค้าต่างๆมากมาย ทั้งเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า ให้เลือกช้อปกัน เลือกกันไม่ถูกเลยครับผม เยอะมากจริงๆ
แต่ในเมืองเรามาถึงญี่ปุ่นแล้วถ้าจะไม่เข้าไปดู Uniqlo ก็คงจะไม่ได้แล้วละครับ ก็เลยต้องของเข้าไปเดินดูเล่นๆซะหน่อย เดนไปเดินมา ได้ของมาเต็มตะกร้าได้ไงก็ไม่รู้แบบงงๆเลย ก็เลยต้องไปยืนต่อแถวชำระค่าเสียหายกันไปตามระเบียบ
สำหรับ เคาเตอร์ที่เป็น Tax Refund ตามร้านค้าต่างๆแถวนี้ส่วนใหญ่เค้าจะแยก กับเคาน์เตอร์ปรกติถ้ายังไงอย่าลืมสังเกตกันด้วยนะครับ เพราะได้ลดเพิ่มอีกต้อง 8 % เลยน้า
หลังจากที่เดินเข้าๆออกอยู่อีกหลายร้าน ก็เริ่มที่จะไม่มีมือสำหรับถือของแล้วครับ วันนี้เราเลยต้องยอมกลับที่พักกันเพราะแบกของไม่ไหวแล้ว
การเดินทางวันที่ 5 : ฮิเมจิ – โกเบ
แผนการเดินทาง
- ปราสาทฮิเมจิ Himeji
- แวะกิน โอโนโคมิยากิ ยากิโซบะ เจ้าอร่อย ใกล้ปราสาทฮิเมจิ
- Kobe Harborland กับ Kobe port tower
- เดินทางกลับไป Namba เดินเล่น Shindaibashi อีกซักรอบ ก่อนเข้าที่พัก
กลับที่พัก
…วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการท่องเที่ยวในทริปนี้แล้วครับผม เพราะว่าพรุ่งนี้เช้าเราก็จะบินกลับไทยกันแล้ว วันนี้เราเลยตกลงกันว่า เราจะไปเก็บซากุระกันต่ออีกซักวัน วันนี้เราก็เลยยอมเดินทางไกลกันอีกครั้งเพื่อไปยัง ฮิเมจิ กันครับเพื่อที่จะไปชมดอกซากุระที่ปราสาทฮิเมจิกันครับ แล้วก็ขากลับแวะเที่ยวโกเบ แบบเบาๆน่ารักๆกันครับผม
1.ปราสาทฮิเมจิ Himeji Castle
…การเดินทางไปยังฮิเมจิ เรานั่งรถไฟ JR จากโอซาก้า ไปลงยังสถานี Himeji ได้เลยครับผม จากนั้นก็เดินเข้าไปยังปราสาท ซึ่งพอออกมาจากสถานีแล้วเราจะเห็นตัวปราสาทเลย แต่อยู่ไกลลิบเลย เราต้องเดินเข้าไป ระหว่างทางเดินเข้าไปยังปราสาทก็จะมีร้านของกินข้างทางมากมายเลยครับ มีพวก เบนโตะให้เราซื้อเพื่อเอาไปนั่งกินที่ด้านในสวนของปราสาทด้วยครับ
บัตรที่ใช้ : ใช้บัตร JR Kansai Area Pass 1day ราคา 2300 เยน
วิธีการเดินทาง : ลงรถไฟ JR ที่สถานี Himeji แล้วเดินประมาณ 15 นาที
ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 1000 เยน
เวลา : 9:00 – 17:00 น.
…ซึ่งพอเดินเข้ามาถึงแล้วต้องบอกเลยครับว่าซากุระที่นี้สวยมากๆ สวยสุดในทุกวันที่ผ่านมาเลยครับผม เราก็เลยเก็บรูปกันอย่างเต็มที่ แล้วก็นำอาหารเตรียมมาออกมานั่งปิกนิกกันด้วยครับผม เราใช้เวลาอยู่ที่ปราสาทฮิเมจินานพอสมควรเลยครับ
ชาวญี่ปุ่นจำนวนมากออกมานั้งปิกนิกกันเยอะมากเลยครับ มีแต่ซากุระสวยๆเต็มไปหมด ถ่ายรูปกันไม่เบื่อเลยครับผม
ขากลับจากปราสาทฮิเมจิเพื่อจะไปต่อยังโกเบ ดูเหมือนสมาชิกแต่ละคนจะยังไม่อิ่มจากข้าวกล่องกันเท่าไรครับ เราเลยแวะร้าน โอโคโนมิยากิ เพื่อที่จะหาอะไรทานเพิ่มกันครับ จะบอกเลยว่า ร้านนี้นะครับ คือจานใหญ่มากกกกกก และก็ถูกมากด้วย ที่เห็นเรากินกันเยอะๆหลายอย่างมากเลยเนี้ยไม่ว่าจะเป็นไส้กรอกย่าง โอโคโนมิยากิ ยากิโซบะ แล้วก็ เกี๊ยวซ่า นี้หมดไปไม่ถึง 2000 เยน เลยครับผม ถูกและอร่อยมาก
2.โกเบ Kobe
..พอกินอิ่มเสร็จตอนนี้ก็ถึง การเดินทางขากลับละครับ ซึ่งเราจะแวะเที่ยวเดินเล่นถ่ายรูปที่เมืองโกเบกันก่อน โดยเราลงรถไฟที่ สถานีโกเบได้เลยครับผม โดยเมืองโกเบเนี้ยเป็นเมืองท่าครับ จะมีจุดเด่นตรงท่าเรือและนี้เลย Kobe Port Tower ซึ่งเหมือนเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้เลยครับ
บัตรที่ใช้ : ใช้บัตร JR Kansai Area Pass 1day ราคา 2300 เยน
วิธีการเดินทาง : ลงรถไฟ JR ที่สถานี Kobe
ซึ่งเป็นตึกที่สามารถขึ้นไปชมวิวได้ทั้งวิวทะเลและวิวภูเขาเลยครับผม
และนอกจากจะขึ้นไปชมวิวแล้ว ที่นี้เค้ายังมีบริการนั่งเรือชมวิวด้วยครับผม
เสร็จจากท่าเรือเราก้เข้ามาเดินเล่นในย่านร้านค้าครับผมแถวๆนี้มีร้านน่ารักๆมากมายเลยครับ หลังจากที่ได้เดินเล่นกันเป็นที่พอใจแล้วก็กลับไปยัง โอซาก้าครับผมเพื่อที่จะจัดการแพ็คกระเป๋าเพราะพรุ่งนี้เราจะเดินทางกลับกันแล้ว
แต่เดี๋ยวก่อนนนน ทำไมเรามาโผล่ชินไซบาชิอีกแล้วละเนี้ยยยย ไหนบอกว่าเมื่อวานคือจะช้อปจบแล้วไง วันสุดท้ายแล้ว สงสัยเมื่อวานจะช้อปปิ้งกันยังไม่หนำใจ จนสุดท้ายสุดท้ายเราก็มาโผล่แหล่งช้อปปิ้งของโอซาก้าอีกรอบครับผม เพื่อช้อปปิ้งส่งท้ายและถ่ายรูปอำลาโอซาก้า กันอีกครั้งหนึ่งแล้วจึงกลับที่พักกันได้อย่างสบายใจ ไม่มีอะไรคาใจอีกครับผมกลับห้องนอนได้
การเดินทางวันสุดท้าย : เดินทางกลับไทย
…วันนี้เราตื่นกันตั้งแต่เช้ามือครับผมเพื่อที่จะได้เดินทางไปให้ทันไฟล์ทรอบเช้าของเรา ซึ่งวันนี้เราใช้รถไฟสาย Nankai airport express ซึ่งจะวิ่งตรงไปยังไม่ต้องเปลี่ยนรถ สนามบินคันไซครับผม โดยขึ้นได้จากสถานี Namba ครับผมแต่เป็นสาย Nankai นะครับ
เมื่อมาถึงสนามบินเราก็เข้าไปเช็คอินที่เคาเตอร์ของสายการบิน NokScoot เช่นเคยครับ ได้รับการบริการอย่างดี จากพนักงานเช่นเคยครับ แล้วเตรียมตัวที่จะขึ้นเครื่องกันต่อไปครับผม
เมื่อมาถึงเครื่องก็เช่นเคยครับผม เครื่องบินลำใหญ่กว้างขวางนั่งสบาย แถมพนักงานยังบริการดีเช่นเคยครับผม นับว่าเป็นการเดินทางที่ดีแล้วก็มีความสุขมาอีกทริปนึงของผมเลยครับ
จบทริป การเดินทางเที่ยวภูมิภาคคันไซ เที่ยวโอซาก้า เกียวโต โกเบ นารา บินด้วยเครื่อง NokScoot
ญี่ปุ่นไปกี่ครั้งก็ไม่เบื่อจริงๆ เป็นอีกทริปที่เรารู้สึกว่าโชคดีมาก เพราะทั้งไปเจอช่วงซากุระบานสวย อากาศยังเป็นใจให้กับพวกเราอีก
สำหรับใครที่อยากไปตามรอยพวกเรา ถ้าจะบินไปโอซาก้า อย่าลืมบินด้วย NokScoot นะครับ ราคาตั๋วถูกๆ เหลือเงินไปเที่ยวไปช๊อปได้แบบสบายๆ
#nokscoot #bigbird #บินไกลสบายกว่าราคาคุ้ม
#Osaka #โอซาก้า #เที่ยวแบบมนุษย์เงินเดือน
#Salaryhumantravel
รีวิวอื่นๆ
1.รีวิวเที่ยวบริสเบน 5 วัน 4 คืน ครบทั้งในเมืองและเกาะมอร์ตั้น…BRISBANE, AUSTRALIA
2.เที่ยวบาหลีแบบง่ายๆ ด้วยตัวเอง 4 วัน 3 คืน… BALI INDONESIA
3.รีวิวเที่ยวไทเป 4 วัน 3 คืน “ไต้หวัน” ฉบับพาครอบครัวเที่ยว ก.พ. 2562