รีวิวพาเที่ยวอินเดีย 3 เมือง ชัยปุระ, จูดห์ปุระ, อากรา 6 วัน 5 คืน

ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่แอดได้มีโอกาสไปเที่ยวประเทศอินเดียเป็นเวลา5 วัน 4 คืน มีเมือง ชัยปุระ, จูดห์ปุระ, อากรา ทั้งหมด 3เมืองด้วยกัน แอดจะมาแชร์ประสบการณ์การเที่ยวในอินเดียให้ทุกท่านได้อ่านกันนะครับ เผื่อจะเป็นประโยชน์สำหรับใครที่ต้องการเดินทางไปอินเดีย ที่อินเดียส่วนใหญ่จะโดดเด่นเรื่องสถานที่ท่องเที่ยว ในเมืองแต่ละเมืองนั้นมีสถานที่สำคัญๆมากมาย และสวยงามมากๆด้วยเหมือนกัน รอบนี้เราจะเน้นท่องเที่ยวเป็นหลัก ไม่ค่อยเน้นกินสักเท่าไหร่ ฮ่าๆ

การเดินทางไปอินเดียในครั้งนี้เราเดินทางกับไปแค่สองคนเน้นแนวแบ็คแพค เดินทางโดยรถไฟเพราะการเดินทางในอินเดียนั้น หัวใจหลักของการเดินทางในประเทศนี้ก็คือรถไฟ แอดจะไปเมืองแรกก่อนนั่นคือเมือง จูดห์ปุระ ต่อมาเป็นเมือง อากรา และเมืองสุดท้ายก่อนกลับเป็นเมือง ชัยปุระ  ไปครับแอดจะพาไปเที่ยวอินเดียกัน โก โก โก !!!

สถานที่ท่องเที่ยวในทริป

เมืองจูดห์ปุระ

  • Old Town Jodhpur (เมืองเก่าจูดห์ปุระ)
  • Mehrangarh Fort (ป้อมเมห์รานการห์)
  • Mahila Bag Ka Zalra

เมืองอากรา

  • Taj Mahal (ทัช มาฮาล)

เมืองชัยปุระ

  • Hawal Mahal (พระราชวังสายลม)
  • Amber Fort (ป้อมปราการแอมเบอร์)
  • Jal Mahal (พระราชวังฤดูร้อน)
  • City Palace (พระราชวังหลวง)
  • Patrika gate (ประตูปาตริกา)
  • Albert Hall Museum (พิพิธภัณฑ์Albert Hall)

สิ่งที่ควรรู้ก่อนไปประเทศอินเดีย

  • ไปอินเดียต้องทำวีซ่าก่อนไป ส่วนใหญ่จะขอเป็น E-VISAขอวีซ่าออนไลน์ที่เว็ป https://indianvisaonline.gov.in/evisa/tvoa.html
  • ค่าทำวีซ่าออนไลน์80USD ต่อคน อยู่ได้ 90วัน
  • เมื่อยื่นเรื่องขอวีซ่าเสร็จภายใน2วันจะมีอีเมล์ตอบกลับมาว่าเราผ่านหรือไม่ ถ้ากรณีไม่ผ่านวีซ่าให้ยื่นใหม่
  • วันเดินทางไปประเทศอินเดียปริ๊นวีซ่าอินเดียติดไปด้วย เพื่อยื่นผ่าน ตม.อินเดีย
  • การเดินทางจากประเทศไทยไปประเทศอินเดีย มีบินตรงไปลงสนามบินชัยปุระ โดยสายการบิน AirAsia
  • การเดินทางภายในเมืองแต่ละเมืองสามารถเรียกUder ผ่านแอพได้เลยไม่โดนโก่งราคา
  • ไม่แนะนำให้นั่งแท็กซี่หรือรถตุ๊กตุ๊ก เพราะจะโดนโก่งราคา
  • การเดินทางระหว่างเมืองแนะนำให้จองรถไฟเดินทางข้ามเมือง โดยจองเป็นชั้น 1 และชั้น 2 จะเป็นรถนอนมีแอร์
  • การจองตั๋วรถไฟต้องจองล่วงหน้า1เดือน เพราะที่นั่งอาจเต็มได้ทุกเวลา
  • รถไฟอินเดียชอบดีเลย์ และมาถึงก่อนเวลาก็มี ให้เราสังเกตดูดีๆไม่งั้นอาจตกรถไฟได้
  • รถไฟอินเดียมักจะเปลี่ยนชานชาลาโดยที่เราไม่ทันได้ตั้งตัว อาจตกรถไฟได้ ให้เราสังเกตมองที่ป้ายบอกชานชาลาบ่อยๆ
  • ถ้าไปกันหลายๆคน แนะนำให้เช่าคนพร้อมคนขับ ถ้าไม่อยากเดินทางโดยรถไฟ
  • อาหารที่อินเดียส่วนใหญ่จะเป็นมังสวิรัติเกือบทั้งหมด ถ้าเป็นเนื้อๆหากินยากมาก
  • พกมาม่าไปด้วยจะดีมาก เพราะบางร้านอาหารไม่ถูกปากเลย
  • อินเตอร์เน็ตสามารถใช้ซิม2fly จากไทยได้เลย สะดวกสุดๆ

ที่พักแต่ละเมือง

  • เมืองชัยปุระ พักที่ Backpackers Headquarter คืนละ 210บาท
  • เมืองจูดห์ปุระ พักที่ Bhavyam Heritage Guest House คืนละ 470บาท
  • เมืองอากรา พักที่ Joy’s Hostel Agra คืนละ 270 บาท (ที่พักนี้เห็นวิว ทัช มาฮาล ด้วย)

Day 1

วันแรกของการเดินทางไปประเทศอินเดีย แอดเดินทางกับสายการบินแอร์เอเชีย บินตรงสู่เมืองชัยปุระ เที่ยวบิน FD 130 : Bangkok (DMK) – Jaipui (JAI)) 20.00 – 00.15 น. และวันกลับเป็นเที่ยวบิน FD 131 : Jaipur (JAI) – Bangkok (DMK) 00.45 – 05.00น.

วันเดินทางวันแรกยังพอมีเวลาให้เตรียมตัว เพราะแอดบินตอน 20.00 น. เลย พอถึงที่สนามบินชัยปุระแอดก็เดินทางต่อไปเมืองจูดห์ปุระเลย จริงๆได้จองตั๋วรถไฟชั้น 2 เป็นรถนอนไว้ แต่มาไม่ทันรอบรถไฟเพราะเครื่องดีเลย์ที่ไทย เลยทำให้ต้องตกรถไฟ ฮ่าๆๆ จำเป็นต้องเหมารถจากสนามบินชัยปุระมาเมืองจูดห์ปุระ เดินทางกันประมาณเกือบ 6 ชม.เลย การเดินทางข้ามเมือง ส่วนใหญ่จะเดินทางโดยรถไฟ แต่ถ้ามาเป็นแก๊งค์เพื่อนเหมารถไปเลยจะคุ้มกว่า เพราะการจองรถไฟที่อินเดียนั้นต้องจองล่วงหน้าอย่างน้อยเวลาหนึ่งเดือน ถ้ามาจองช่วงใกล้อดได้ที่นั่งแน่นอน การจองตั๋วรถไฟนั้นขั้นตอนที่ง่ายที่สุดเลยคือจองผ่านเอเจนซี่ เราแนะนำที่นี่นะ www.wanramtang.com/service/india-train-ticket.html เพราะสะดวกที่สุด แค่แจ้งวัน เวลา และเมืองที่จะไป ไม่นานก็ได้ตั๋วแล้ว หรือใครจะจองเองก็ได้แต่อาจจะยุ่งยากหน่อย เพราะต้องมี User ล็อคอินเข้าหลายขั้นตอนมาก

 

ที่พัก

เราพักกันที่ Bhavyam Heritage Guest House คืนละ 470 บาท เราอยู่ที่นี่เป็นเวลา 2 วัน ไม่มีอาหารเช้า มีเครื่องทำอุ่น แอร์ wifi ครีมอาบน้ำ ยาสระผม เราว่าห้องก็โอเคนะ และดาดฟ้ายังมองเห็น Mehrangarh Fort อีกด้วยนะ

 

ร้าน Indigo Restaurant

พิกัด : https://goo.gl/maps/ukDTG46VEuDvUson7

เปิด-ปิด : 07.30น. – 22.30น.

ร้านนี้อยู่ไม่ไกลจากที่พักเราเลย สามารถเดินไปได้ไม่เกิน 100 เมตรก็ถึงร้าน

พนักงานในร้านเป็นกันเองมากๆ ใจดี คือเราอยู่ที่เมืองตลอด 3 วันใช่ป่ะ คือมาทุกวันจนพนักงานร้านจำหน้าได้เลย ฮ่าๆๆ เพราะเรากินที่ร้านนี้แทบทุกวันเลยจริงๆ เป็นร้านเดียวที่เราสำรวจแล้วว่าสะอาด และอร่อยด้วย

อาหารที่เราสั่งก็จะมีข้าว แป้งโรตี Butter chicken และ Chicken curry

และบนดาดฟ้าร้านนี้จะมองเห็นป้อมเมห์รานการห์อีกด้วยจ้า มันเลิศมากกกกกก

 

Old Town Jodhpur

พิกัด : อยู่ระแวกที่พักเลย

ถ้ามาเมืองนี้ต้องไม่พลาดที่จะเดินชมเมืองเก่านะ ที่นี่มีตึกสีฟ้าโบราณเยอะมาก คือว่าเดินไปทางไหนก็มีแต่ตึกสีฟ้า เหมือนคนที่นี่เค้าพร้อมใจทาตึกให้เป็นสีฟ้ายังไงยังงั้นเลย

เมืองนี้เหมาะสำหรับถ่ายพอร์ทเทรตมาก มีแต่อาคารวินเทจ โบราณเก่า

 

Sardar Market

พิกัด : https://goo.gl/maps/td3qfJESeygbjSy99

เปิด-ปิด : 07.30น. – 18.30น.

ตลาดซาร์ดาร์อยู่ไม่ไกลกับจุดที่เราถ่ายรูปเดินลงมาประมาณ 500 เมตร เป็นตลาดที่มีทุกอย่างจริงๆ ทั้งผัก ผลไม้ เครื่องแต่งกาย และอาหาร เหมือนทั้งหมดมารวมอยู่ที่นี่ที่เดียว ฮ่าๆๆ

ในช่วงตอนเย็นคนจะเยอะมากๆ จะมีชาวอินเดียจะเอาของมาขายกัน มีมากมายจริงๆ และนักท่องเที่ยวก็เยอะมากๆด้วยเหมือนกัน เราลองเดินถามชุดสาหรีที่นี่ดู เราว่าถูกกว่าที่เมืองไทยนะ ชุดนึงไม่กี่บาทเองที่ไทยเราเคยไปถามชุดนึงอยู่ที่สองพันกว่าเลย ถ้าใครจะหาชุดสาหรีใส่แนะนำให้มาซื้อที่นี่นะ

ตรงเป็นวงเวียน Ghanta Ghar อยู่ใจกลางตลาดซาร์ดาร์เลย

ผลไม้ต่างๆก็มีมาก ผักนานาก็เยอะ

เดินถัดมาอีกหน่อยจะเป็นร้านขายเครื่องแต่งกายของชาวอินเดีย มีทั้งสร้อย ต่างหู กำไล เยอะแยะไปหมด และราคาถูกมาก

ก่อนกลับเราแวะมาลองขนม มันก็ไม่เชิงขนมมั้ง ฮ่าๆ มันเรียกว่า “ปานีปูริ” เป็นแป้งกรอบกรวงข้างใน ใส่มันบด และตักด้วยน้ำพริกไทยเป็นเหมือนน้ำซุปเข้าไปข้างใน อันละ 2 รูปี

เค้าจะใช้นิ้วเจาะรูแป้งแล้วยัดมันบดเข้าไปข้างในแบบนี้

แล้วตักน้ำซุปกันสดๆด้วยมือคู่นั้น พร้อมเสิร์ฟใส่ถาดกันเลยจ้า ดิบแค่ไหนดูน้ำที่มือซะก่อน ฮ่าๆ

ไหนๆก็มาแล้วต้องลอง คำแรกไปเกือบสำลักน้ำซุป เพราะมีความเผ็ดของพริกไทย โดนเข้าไปคนละ 2 คำก็โอเคนะ เราว่าอร่อย แต่ต้องขอพอก่อน ฮ่าๆๆ

จากนั้นเราก็เข้าที่พัก ไปทานอาหารกันที่ร้านเดิมพร้อมกับวิวป้อมเมห์รานการห์ในช่วงเวลากลางคืน คือมันสวยมากทั้งกลางวันและกลางคืนเลย

Day 2

Mahila Bag Ka Zalra

พิกัด : https://goo.gl/maps/i8LJEAeV7SWGofwC9

เปิด-ปิด : 07.30น. – 18.30น.

เช้าวันนี้เราไปกันที่ Mahila Bag Ka Zalra เป็นสถานที่ถ่ายทำหนังเรื่องแบทแมน ซึ่งเป็นฉากที่อยู่ในคุก เข้ามาที่นี่ไม่มีค่าเข้าเดินเข้าไปถ่ายรูปได้เลย

น้ำในนี้เล่นได้ด้วยนะ แต่เราไม่กล้าลง ฮ่าๆๆ ปกติเราจะเห็นตามคลิปวีดีโอจะมีเด็กๆมาเล่นน้ำกันตรงนี้ด้วย

เว่อร์วังมาก จะถ่ายมุมไหนก็สวย แต่วันนี้อากาศร้อนไปหน่อย ฮ่าๆๆ

มาเมืองนี้แล้วห้ามพลาดเลยสถานที่นี้ เดินไม่ไกลจากที่พักด้วย อยู่ใกล้ๆกับตลาดซาร์ดาร์เลย

 

Mehrangarh Fort (ป้อมเมห์รานการห์)

พิกัด : https://goo.gl/maps/xZ28rNLL8ifcrbi68

เปิด-ปิด : 09.00น. – 17.00น. (ประตูปิดตอน 17.00น. แต่อยู่ต่อได้ถึง 19.00น.)

ป้อมปราการที่เหมือนกองบัญชาการบนเนินเขานี้ ชื่อว่า Mehrangarh Fort (ออกเสียงว่า เม-ราน-กา) เป็น 1 ใน 4 พระราชวังที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย ป้อมนี้อยู่บนเนินเขาใจกลางเมือง Jodhpur อยู่สูงกว่าเมืองประมาณ 122 เมตร สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 15 ราวปี ค.ศ. 1460 โดย Maharaja Rao Jodha (มหาราชา ราโอ จอดา) ตัวป้อมสร้างจากหินทรายสีแดง ที่ผ่านการแกะสลักอย่างวิจิตร แสดงถึงทักษะงานแกะสลักของคนในยุคนั้น ค่าเข้าอยู่ที่คนละ 600 รูปี มีค่านำกล้องเข้าไปถ่ายภาพด้วยอยู่ที่ 100 รูปีต่อกล้องหนึ่งตัว

เข้ามาเราจะมองเห็นวิวเมืองจูดห์ปุระเลย เป็นเมืองสีฟ้าแทบจะทั้งเมือง

ที่ป้อมเดิมทีเป็นพระราชวังเก่า ได้เปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงอาวุธ ข้าวของเครื่องใช้โบราณ รวมถึงเครื่องใช้ส่วนตัวของมหาราชา

เดินเข้ามาด้านในจะเป็นดนตรีเล็กๆ ที่จัดแสดงเป็นรอบให้กับนักท่องเที่ยวที่มาฟัง

ข้ามาด้านภายในป้อมคือสะดุดตากับหน้าต่างนี้มาก เพราะถ่ายสวยในมุมมืด ฮ่าๆๆๆ

จุดนี้เป็นมุมจากระเบียงชั้นสองของป้อม

ส่วนนี้เป็นส่วนด้านใน ก่อนเดินทะลุออกไปทางกำแพงของป้อม เป็นเหมือนห้องโถงโล่งใหญ่

ดูผ่านๆ คือมันงดงามมากงานละเอียดละเมียดละไมสุดๆ

เดินออกมาทางป้อมจะเห็นวิวเมืองจูดห์ปุระแบบเต็มๆเลย สีฟ้าทั้งเมืองสวยมากๆ

ไม่ต้องแปลกใจถ้าคนอินเดียจะขอเซลฟี่ด้วยตลอดทาง จะขอเข้ามาถ่ายรูปทั้งผู้หญิงและผู้ชายเหมือนกับเราเป็นดารา ฮ่าๆๆ

กลับจากป้อมเมห์รานการห์เรากลับมาเก็บของเตรียมไปต่อกันอีกเมืองในวันรุ่งขี้น และตลอด 3 วันเราทานอาหารที่ร้าน Indigo Restaurant ที่เดียวเลย ไม่กล้าไปลองที่ร้านอื่นกลัวไม่ถูกปาก

Day 3

วันที่สามของการเดินทางวันนี้เราต้องไปต่อกันที่เมืองอากราเมืองที่สองของทริปนี้โดยเราจะนั่งรถไฟจากเมืองจูดห์ปุระไป รถไฟของเราเป็นรอบ 09.10น. ต้องไปก่อนเวลาประมาณ 50 นาที เพราะรถไฟอินเดียอินดี้มาก ฮ่าๆๆ บางทีมาก่อนเวลาก็มี มาเรทก็มี ออกก่อนเวลาก็มี เราเลยต้องไปก่อนเวลาเพื่อกันพลาดตกรถไฟ

มาก่อนเวลาจะมีป้ายไฟ Led บอกสถานะของรถไฟ ซึ่งจะมีหมายเลขรถไฟ บริษัทรถไฟ เวลารถไฟมาถึง และชานชาลาถ้าเรามาก่อนเวลายังไม่มีบอกชานชาลาว่าต้องขึ้นชานชาลาไหน แต่ใกล้ได้เวลา หรือรถไฟมาแล้วหมายเลขชานชาลาจะขึ้นโชว์ที่ป้าย Led ตรงให้ระวังเพราะหลายคนชะล่าใจทำให้ตกรถไฟบ่อย ฮ่าๆๆ ให้เราเดินออกมาดูรถไฟขบวนของเราบ่อยๆกันพลาด

รถไฟของเรามาถึงแล้วจ้า เป็นรถไฟชั้น 2 เป็นรถนอน กว่าจะถึงเมืองอากราก็นอนยาวๆไปเลยจ้า 11 ชม.

ด้านในตู้รถไฟจะเป็นเก้าอี้นอนมีหมอน ผ้าห่มให้

ถึงเมืองอากราเวลา 20.05น. ไปที่พักกันต่อโดยเรียกใช้บริการ Uber

 

ที่พัก

เราพักกันที่ Bhavyam Heritage Guest House คืนละ 470 บาท และเราอยู่ที่นี่เป็นเวลา 2 วัน มีอาหารเช้า มีเครื่องทำอุ่น แอร์ wifi ครีมอาบน้ำ ยาสระผม ดาดฟ้ายังมองเห็น Taj Mahal อีกด้วยจ้า เลิศมากกกก ภายในที่พักสามารถสั่งอาหารทานได้เลยไม่ต้องออกไปทานข้างนอก หรือใครจะสะดวกทานข้างนอกก็ได้เหมือนกัน

วิวจากดาดฟ้าของที่พักจะเห็น Taj Mahal เต็มๆเลยจ้าคือดีย์ ถ้าเราจะไป Taj Mahal ก็เดินจากที่พักไปได้เลยประมาณ 10 นาทีถึง ไม่ไกลกันมาก

วันนี้ทั้งวันหมดไปกับการเดินทางที่ยาวนานและเหนื่อยมากๆ ต้องพักเอาแรงกันก่อน วันพรุ่งนี้จัดเต็มแน่นอน

Day 4

Taj Mahal

พิกัด : https://goo.gl/maps/wR93s1QK1tsGVNSN9

เปิด-ปิด : 06.30น. – 18.30น.

เช้านี้เราไปกันที่ Taj Mahal 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ ก่อนจะเข้าไปเราจะเล่าประวัติศาสตร์ของที่นี่กันก่อน ฮ่าๆๆ

Taj Mahal คือสุสานที่กษัตริย์ในราชวงศ์โมกุล สร้างให้ภรรยาที่เสียชีวิตไปตอนคลอดลูกคนที่ 14 ก็เลยสั่งให้สร้างสุสานจากหินอ่อนทั้งหมด เพื่อแสดงความรักให้แก่ภรรยาคนที่สาม โดยต้องสร้างจากสิ่งที่ดีที่สุดเป็นหนึ่งเดียวในโลก และสั่งฆ่าคนออกแบบทิ้งเพื่อไม่ให้ไปสร้างที่อื่นได้อีก โดยใช้งบประมาณก่อสร้างสูงมาก อีกทั้งยังมีโครงการจะก่อสร้างสุสานของตัวเอง ที่ทำจากหินอ่อนสีดำอยู่ตรงข้ามแม่น้ำอีกฝั่ง เพื่อจะได้อยู่เคียงข้างกับภรรยาตลอดไป แต่เนื่องจากต้องใช้งบประมาณและแรงงานคนมาก ลูกชายเลยจับพ่อไปขังที่ Agra Fort (ป้อมที่อยู่ใกล้ๆทัชมาฮาลประมาณ 2 กิโลเมตร) พ่อก็มองทัชมาฮาลจากอัคราฟอร์มดจนสิ้นชีวิต เลยไม่มีโอกาสไม่สร้างทัชมาฮาลสีดำ ถ้ามีทัชมาฮาลสีดำอาจจะเป็นอีกหนึ่งสิ่งมหัศจรรย์ของโลกก็เป็นได้

เราเดินไปซื้อตั๋วที่เคาเตอร์กันเลย ราคานักท่องเที่ยวจะอยู่ที่ 600 รูปีต่อคน สำหรับคนไทยเอาพาสปอตยื่นให้ดูเลยจะเหลือคนละ 530 รูปี หลังจากซื้อตั๋วแล้วอย่าลืมรับน้ำขวด กับถุงใส่รองเท้าด้านซ้ายมือของเคาเตอร์ด้วยนะ

ได้มาแล้ว เป็นเหรียญสำหรับแตะเข้า และแตะออก พอรับของเสร็จเราก็ไปต่อคิวเข้าทัช มาฮาลกันเลย ผู้หญิงจะเข้าช่องซ้าย ผู้ชายจะเข้าช่องขวา ช่วงนี้ให้ระวังดีๆไม่งั้นอาจโดนแซงคิวได้น้า พอเข้ามาแล้วก็ต้องตรวจสัมภาระอีกครั้งก่อนเข้าชม ที่นี่มีการรักษาความปลอดภัยหนาแน่นมาก

เข้ามาจะเจอประตูทางเข้า ทัช มาฮาล เป็นอันดับแรก วันนี้ฟ้ามัวเหมือนฝนจะตก

มุมประตูนี้เป็นมุมมหาชนมาก ถ่ายออกมายังไงก็สวย

เดินเข้ามาทางด้านซ้ายของ ทัช มาฮาล จะเป็น Kau Ban Mosque คล้ายกับมัสยิด ด้านในช่วงที่เราไปกำลังบูรณะไม่สามารถเข้าได้

มุมนี้อลังการเว่อร์วังมาก ถ้าไปช่วงเช้าคนจะน้อยมาก แต่เวลาที่เราไปกันก็เกือบ 11.00น. แล้วนักท่องเที่ยวที่เข้ามาชมทัช มาฮาลเริ่มเยอะอาจจะถ่ายรูปไม่ค่อยสวย เราแนะนำให้มาแต่เช้าเลย หรือไม่ก็ใกล้ๆช่วง ทัช มาฮาล ใกล้ปิดเพราะคนจะน้อย ถ่ายรูปออกมาสวย

ชมความงามของ ทัช มาฮาล ด้านนี้เสร็จเราไปต่อกันด้านในของตัว ทัช มาฮาล กันบ้างพอจะเข้าไปด้านในฝนก็ดันตกซะงั้น นักท่องเที่ยวที่มาชม ทัช มาฮาล วิ่งหลบฝนกันแบบสุดๆ ฮ่าๆๆ

และนี่แหละคือโอกาสอันดีของเรา ในช่วงที่นักท่องเที่ยวหลบฝนกันอยู่ออกไปถ่ายรูปเลยจ้า ต้องตรองแค่ไหนถึงจะถ่ายรูปกลางสายฝนได้

เมื่อเข้ามาชมใกล้ๆตัวอาคารจะเห็นว่างานละเอียดมาก ยังคิดเลยว่าสมัยก่อนต้องใช้คน ใช้เงิน และใช้พลังมากแค่ไหนถึงได้สร้าง สิ่งก่อสร้างได้ละเอียดขนาดนี้ วิจิตรทั้งลวดลาย การแกะสลัก และงานเพนซ์เลย ดูออกแล้วว่าที่นี่สร้างขึ้นด้วยสิ่งก่อสร้างด้วยความรักจริงๆ ยิ่งเข้าไปข้างในยิ่งเห็นงานละเอียดมากเลย เสียดายภายในอาคารไม่ให้ถ่ายรูป เอาเป็นว่าควรค่าแก่การไปเห็นด้วยตาของตัวเองมากๆ

สิ่งที่ควรรู้ก่อนเข้าชมทัช มาฮาล

– ถ้ามีคนคล้องป้ายมาขอเป็นไกด์ พยายามหลีกเลี่ยงการคุยด้วย เพราะส่วนใหญ่เป็นพวกหลอกลวงแล้วจะให้เราจ่ายเงิน

– ด้านในตัวอาคารทัช มาฮาลไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพ

– ขาตั้งกล้อง หมากฝรั่ง แต่บุหรี่ ไม่สามารถนำเข้าได้ จะโดนห้ามนำเข้าตรงช่วงตรวจสัมภาระ

– ก่อนเข้าจะมีที่ฝากกระเป๋า หรือของที่ไม่อนุญาตให้นำเข้า ก่อนกลับให้มารับกลับได้เลย

วันนี้เกือบทั้งวันเราไม่ได้ไปไหนกันเลยนอกจาก ทัช มาฮาล เพราะสภาพอากาศ ฝนตกเกือบทั้งวันเราเลยต้องกลับมาเก็บของเพื่อไปต่อที่เมืองชัยปุระในวันพรุ่งนี้

Day 5

และเช่นเคยวันนี้เราต้องไปที่เมืองชัยปุระ เมืองที่สุดท้ายก่อนกลับไทยของทริปนี้ โดยเราจะนั่งรถไฟจากเมืองอากราไป รอบนี้คือพีคมากโดนตุ๊กตุ๊กหลอก ด้วยความที่เราถามไม่รอบคอบด้วยความที่เรารีบด้วย คือ เราเลือกที่จะนั่งตุ๊กๆจากที่พักมาสถานีรถไฟอากรา เพราะราคาแค่ 100 รูปี แต่ที่ไหนได้คนละ 100 รูปีจ้า ฮ่าๆๆ เสียค่าโง่ไป ทั้งที่จริงๆแล้วเราเรียก Uber จะถูกกว่าประมาณ 50 รูปี

หัวร้อนเลยตอนนั้น ถ้าจะไปไหนนะโดยเฉพาะกับรถตุ๊กตุ๊กให้เราถามไปเลยกี่บาท ราคานี้ต่อกี่คน มีอะไรเพิ่มเติมไหม ไม่งั้นโดนแน่นอน ฮ่าๆๆๆๆ

รถไฟของเราเป็นรอบ 10.30น. แต่ก็ต้องไปก่อนเวลาเหมือนเดิม บอกไปแล้วว่ารถไฟอินเดียอินดี้มากกกก

ถึงเมืองชัยปุระเวลา 17.30น. เราเรียก Uber ไปที่พักต่อ

 

ที่พัก

เราพักกันที่ Backpackers Headquarter คืนละ 210 บาท เราอยู่ที่นี่เป็นเวลา 1 วัน เป็นห้องรวมที่พักนี้ไม่มีอาหารเช้า มีเครื่องทำอุ่น ไม่มีแอร์ มีwifi มีห้องนั่งเล่นรวม กว่าจะมาถึงที่พักก็ค่ำมากแล้ว เรานอนพักเอาแรงเพื่อวันพรุ่งนี้ วันนี้เดินทางทั้งวันหมดแรงแล้วอ่า

Day6

Hawa Mahal (พระราชวังแห่งสายลม)

พิกัด : https://goo.gl/maps/NCZzVuMyfcXe9Hw56

เปิด-ปิด : 09.00น. – 17.00น.

เช้านี้เราไปทานอาหารเช้ากันที่ร้าน The Tattoo Café ฝั่งตรงข้ามกับ Hawa Mahal เลย จะเห็นวิวได้เด่นชัดมากคือไม่ต้อเสียเงินเข้าไปด้านใน Hawa Mahal เลย พระราชวังแห่งสายลมนี้มีลักษณะอาคาร 5 ชั้น เป็นสถาปัตยกรรมสไตส์เปอร์เซียกับโมกุล ความสวยงามคือการมองด้านหน้าจะเห็นหน้าต่างเล็กๆถึง 953 บาน จนดูเหมือนรังผึ้ง และการออกแบบของพระราชวังนี้ถอดแบบมาจากรูปทรงของมงกุฏพระนารายณ์ด้วยนาาา

วันนี้ฟ้าใส บนดาดฟ้าของร้านก็มีมุมสวยๆให้ถ่ายเพียบ มาร้านนี้ร้านเดียวคุ้มเลย อ้อแล้วมีอีกร้านเหมือนมีมุมแบบนี้คือร้าน Wind View Café ร้านอยู่ติดๆกันเลย สามารถเลือกร้านเข้าได้ตามสบาย

ด้านล่างติดกับ Hawa Mahal มีร้านค้ามากมายติดๆกัน ส่วนใหญ่จะเป็น ชุดเสื้อผ้าสาหรี รองเท้า และร้านอาหาร

วิวบนดาดฟ้าของร้าน The Tattoo Café มีโต๊ะเก้าอี้สำหรับนักท่องเที่ยวที่มาดื่มกันยามค่ำคืน

จากพระราชวังสายลมเดินไปอีกหน่อยจะเป็นพระราชวังหลวง

 

City Palace (พระราชวังหลวง)

พิกัด : https://goo.gl/maps/H8xYCa1vLSt8Ph5c7

เปิด-ปิด : 09.30น. – 17.00น.

พระราชวังหลวงนี้มีพื้นที่ถึง 1 ใน 7 ของใจกลางเมืองสร้างเมื่อ ค.ศ.1797 ประกอบไปด้วย 4 ส่วน มีส่วนพระราชวัง, ส่วนพิพิธภัณฑ์, ส่วนแสดงชุดสงคราม และส่วนศิลปะภาพวาด รูปถ่าย ค่าเข้าอยู่ที่ 3000 รูปีต่อ 2 คน แต่เราไม่ได้เข้าได้แต่ถ่ายส่วนด้านนอกมาให้ชมกัน เพราะเราแลกเงินไปจำกัดมากเลยอดเข้าจ้า ฮ่าๆๆๆ คือแอบ Fail หน่อยๆ แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะคิดว่าเราต้องมาอีกให้ได้

กริ่นคร่าวๆก่อน ภายใน City Palace จะมีห้องทั้งหมด 7 ห้องค่าเข้าอยู่ที่ 2500 รูปีต่อคน ถ้าเข้าแค่ 5 ห้องค่าเข้าจะอยู่ที่ 1500 รูปีต่อคน เราแลกเงินกันไปจำกัดมากเลยตัดสินใจไม่ได้เข้าไปกัน เราเลยต้องไปกันต่ออีกที่

 

Patrika Gate (ประตูปาตริกา)

พิกัด : https://goo.gl/maps/XHzB7pfqXuz9zSEc8

เปิด-ปิด : เปิดตลอดเวลา

ประตูนี้อยู่ที่วงเวียน Jawahar Circle ไม่อยากให้พลาดมาเก็บรูปที่นี่ แค่ซุ้มประตูนี่แหละ แต่เป็นซุ้มประตูที่สวยงามมาก โดยเฉพาะลวดลายด้านในของประตู ที่นี่เป็นประตูเมืองลำดับที่ 9 ของเมืองชัยปุระ ด้วยความที่เป็นเลขศักดิ์สิทธิ์การสร้างประตูนี้ จึงมีการระดมความคิดสร้างให้ตรงตามประเพณีโบราณของเมือง ทำให้ประตูปาตริกานี้มี 9 โดม มี 7 ซุ้ม แต่ละซุ้มมีภาพวาดสีสันสวยงาม และนับเป็นจุดถ่ายรูปที่สวยมาก

ด้านในประตูเป็นภาพวาดบอกเล่าประวัติศาสตร์ของแคว้นราชสถานสำหรับนักท่องเที่ยว

มองเข้าไปนี่เป็นเลเยอร์เลย สวยมากๆ ต่อไปเราไปกันที่ Amber Fort คือป้อมปราการแอมเบอร์

 

Amber Fort (ป้อมปราการแอมเบอร์)

พิกัด : https://goo.gl/maps/6kd8kGuKbi6jf2v46

เปิด-ปิด : 08.00น. – 20.00น.

ชมประตูได้ไม่นานเราไปกันที่ Amber Fort (ป้อมปราการแอมเบอร์) ป้อมนี้ยิ่งใหญ่มาก มีทะเลสาบ Maota อยู่ด้านหน้าของป้อม สามารถมองเห็นได้ระยะไกล เพราะมีแนวกำแพงใหญ่ คล้ายกับกำแพงเมืองจีนแต่เล็กกว่า ความยาว 13 กม. นับเป็นสถาปัตยกรรมต้นแบบที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว ระหว่างศิลปะฮินดูกับศิลปะราชปุต ค่าเข้าด้านใน 1000 รูปีต่อคน

มองขึ้นไปมันดูยิ่งใหญ่มาเหมือนอะไรสักอย่างในหนังอ่ะ ดูมีมนต์ขลัง ดูมีพลังดีอ่ะ

ที่นี่นกพิราบเยอะมาก เหมือนเมืองอินเดียนี่มีแต่นกพิราบ ไปตรงก็เจอเวลาถ่ายออกมานี่อลังการมาก ทำให้รูปภาพดูยิ่งใหญ่ไปเลย

ป้อมอยู่ด้านบนเราต้องเดินขึ้นไป ถ้าใครไม่อยากเดินขึ้นสามารถขี่ช้างขึ้นไปได้นะ ประมาณ 1300 รูปีต่อคน

ตรงนี้เป็นมุมระหว่างทางเดินขึ้นดูยิ่งใหญ่เว่อร์มากกกก

มองขึ้นไปจะเป็นป้อมนาหรครห์ อยู่ใกล้ๆกับป้อมแอมเบอร์

เดินขึ้นไปได้รับรู้ถึงความเหนื่อยเหมือนกัน ทางชันใช้ได้เลยอ่ะ

กลับลงมาจากป้อมแอมเบอร์ ไปกันต่อที่ ชัล มาฮาล

 

Jal Mahal (พระราชวังฤดูร้อน)

พิกัด : https://goo.gl/maps/7TByjLTr8DnRP2RE6

เปิด-ปิด : เปิดตลอดเวลา

พระราชวังนี้จะอยู่ระหว่างทางไปป้อมแอมเบอร์ ขากลับเราสามารถแวะถ่ายรูปได้ที่นี่เลย หรือจะสะดวกแวะก่อนขึ้นไปป้อมแอมเบอร์ก็ได้เหมือนกัน พระราชวังฤดูร้อนนี้ก่อสร้างตั้งแต่ ศตวรรษที่ 18 คือนานมาก แล้วถูกปล่อยทิ้งร้างตามสภาพแวดล้อมรอบๆทะเลสาป เหลือแต่ความงดงามที่อยู่กลางทะเลสาบ

นักท่องเที่ยวต่อคิวถ่ายรูปเยอะมาก มีทั้งชาวอินเดีย และชาวต่างชาติ

เราไปกันสถานที่สุดท้ายของทริป คือ Albert Museum

 

Albert Hall Museum (พิพิธภัณฑ์ Albert Hall)

พิกัด : https://goo.gl/maps/7TByjLTr8DnRP2RE6

เปิด-ปิด : 09.00น. – 22.00น.

เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองชัยปุระที่นี่เป็นที่ทำการบริหารส่วนต่างๆของเมือง และได้มีการปรับเปลี่ยนภายหลังให้เป็น Art Museum ที่รวบรวมศิลปะ และวัฒธรรมต่างๆไว้มากมาย ตั้งอยู่ที่วงเวียนกลางเมืองเลยจ้า

วิ่งไล่นกพิราบก็มาาาาเที่ยวสถานที่นี้เป็นที่สุดท้ายเราก็เตรียมพร้อมเดินทางกลับประเทศไทย

 

และแล้ว เราก็ได้เวลากลับกันแล้วจ้า เดินทางกลับ เที่ยวบินที่ FD 131 : Jaipur (JAI) – Bangkok (DMK) 00.45 – 05.00 น. เราเข้าไปเอาสัมภาระที่ฝากไว้ที่ที่พัก แล้วเรียก Uber ไปสนามบินกันเลย ถึงสนามบินก่อนเวลานิดหน่อย เพราะสนามบินไม่ห่างกับตัวเมืองเท่าไหร่ พอเคาเตอร์ Check in เปิดเราก็ไม่รอช้า เข้าไปใช้บริการ Check in เลย สายการบินแอร์เอเชียมีบินตรงทุกวัน บินสบายๆ ราคาประหยัดมากๆ

สรุปค่าใช้จ่าย ต่อคน 6 วัน (ต่อคน)

– E-VISA 1,800 บาท

– ที่พัก 845 บาท

– ค่ารถไฟ 1,790 บาท (จองผ่านเอเจนซี่)

– ค่า Uber + ตุ๊กตุ๊ก 800 บาท

– ค่าเข้าสถานที่ท่องเที่ยว 1,180 บาท

– ค่าอาหาร คร่าวๆ 1,400 บาท

รวม 8,000 บาท (ไม่รวมตั๋วเครื่องบิน)

ทริปนี้เป็นครั้งแรกที่เราเดินทางไปเที่ยวประเทศอินเดีย ได้เจอกับสิ่งแปลกใหม่ ได้ลองอะไรใหม่ๆ คือสิ่งที่เราเจอมันอาจจะไม่แปลกสำหรับบ้านเค้า แต่สำหรับเราคือมันแปลก แปลกจนต้องแบบเห้ยมีงี้ด้วยหรอ ได้หรอ เจ๋งอ่ะ ดูรีวิวมาก็เยอะ ดูคลิปมาก็หลาย แต่พอมาเจอด้วยตัวเองคือมันใหม่ มันเห้ย มันต้องลองมาอ่ะ แล้วจะรู้ อินเดียเป็นประเทศที่ใหญ่มา สถานที่ท่องเที่ยวโบราณก็เยอะมากๆเช่นกัน ถ้ามีโอกาสได้ไปอีกเราก็จะไปเพราะยังมีเมืองสวยๆอีกหลายเมืองมากกก ต้องมาลองนะ เจอกันใหม่ทริปหน้าจ้า ^^

Facebook Comments

Leave a Comment